วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โรคเบาหวาน สิ่งที่ทุกคนควรรู้ และควรป้องกัน

ความรู้ทั่วไปกับเบาหวาน
โรคเบาหวาน สิ่งที่ทุกคนควรรู้ และควรป้องกัน
โรคเบาหวาน เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมที่ตับอ่อน ซึงไม่สามารถผลิตหรือหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา ให้มากเพียงพอที่จะใช้เปลี่ยนน้ำตาลที่ร่างกายได้รับจากอาหารจำพวกแป้ง ไขมัน และโปรตีนให้เกิดเป็นพลังงาน จึงมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ น้ำตาลส่วนเกินก็จะถูกขับออกมาในปัสสาวะพร้อมกับน้ำ ทำให้ปัสสาวะบ่อยและมีจำนวนมาก ปัสสาวะมีรสหวาน เราจึงเรียกโรคนี้ว่า เบาหวาน นอกจากมีความผิดปกติของการเผาผลาญอาหารคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนแล้ว ยังมีความผิดปกติอื่น เช่น มีการสลายของสารไขมันร่วมด้วย ถ้าแบ่งกันง่าย ๆ ก็อาจพูดได้ว่า มี 2 ชนิด ชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน และชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน
1.  เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน มักเกิดขึ้นในเด็ก รูปร่างผอม เนื่องจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ไม่สามารถใช้ยาเม็ดรับประทานได้
2.   เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน มักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ รูปร่างอ้วน เนื่องจากอินซูลินไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อผนังเซลล์ได้ดี ทำ ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง การรักษาอาจเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และใช้ยาเม็ดชนิดทานในขั้นต่อมา คนไข้ในกลุ่มนี้อาจต้องใช้ยาฉีดอินซูลินบางครั้งหรือตลอดไป ถ้าไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยยาเม็ด
สาเหตุ
ไม่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยหลักก็คือ ร่างกายตอบสนองต่อระดับน้ำตาลในเลือดที่ขึ้น ช้ากว่าปกติ เช่น มีการตอบสนองต่ออินซูลินต่ำกว่าปกติ (ภาวะดื้ออินซูลิน) โดยเฉพาะคนที่น้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง และออกกำลังกายน้อย
อาการและอาการแสดง
ภาวะน้ำตาลชนิดนี้ ไม่มีอาการ แต่ให้คุณมองหาอาการที่แสดงว่าคุณเป็นเบาหวานแบบจริงๆ คือ
·    กระหายน้ำบ่อย
·    ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะกลางคืน
·    หิวบ่อย
·    น้ำหนักขึ้น
·    อ่อนเพลีย
·    ตามัว
·    เมื่อเป็นแผลแล้วแผลหายช้า
·    มือเท้าชา
·    เหงือกอักเสบบ่อยๆ
·    ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ หรืออวัยวะสืบพันธ์บ่อยๆ
·    คันตามผิวหนัง
แบบประเมินความเสี่ยงต่อเบาหวาน ( Diabetic Risk Score)
แบบประเมินความเสี่ยงต่อเบาหวาน พัฒนาขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัยระยะยาวของพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT) ในการประมาณโอกาสเกิดโรคเบาหวานในช่วง 12 ปี (ระหว่างปีพ.ศ. 2528 ถึงพ.ศ. 2540) การศึกษาวิเคราะห์ดังกล่าว ดำเนินการโดย นพ.วิชัย เอกพลากร (โรงพยาบาลรามาธิบดี) โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ
เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ง่ายในระดับปฐมภูมิและในประชากรทั่วไปในการประเมินตนเอง สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างมีเป้าหมายเช่นการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย เพื่อให้มีความเสี่ยงลดลง

แบบประเมินความเสี่ยงเบาหวานประเภทที่ 2 (ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน)

ปัจจัย                                                  คะแนน

อายุ
34 39                                                                 0
40 – 44                                                    0
45 - 49                                                                 1
50                                                                     2
เพศ
ผู้หญิง                                                                   0
ผู้ชาย                                                                    2
ดัชนีมวลกาย (นน.ตัว กก./ความสูง เมตร2)          
< 23                                                                     0
23 - <27.5                                                           3
27.5                                                                5
ความยาวเส้นรอบเอว(วัดเป็นเซนติเมตร)          
< 90 ซม.(ผู้ชาย) และ < 80 ซม. (ผู้หญิง)                0
90 ซม.(ผู้ชาย) และ 80 ซม. (ผู้หญิง)              2
เป็นโรคความดันเลือดสูง
ไม่เป็นความดันเลือดสูง                                          0
เป็นความดันเลือดสูง                                             2
( >140/90 มม.ปรอท หรือรักษาความดันเลือดสูงอยู่ ) 
ประวัติเบาหวานในพ่อ   แม่  พี่  น้อง
ไม่มีประวัติ                                                            0
มีประวัติ                                                               4

รวมคะแนน
            การแปรผลคะแนน เป็นความเสี่ยงต่อเบาหวาน
ผลรวมคะแนน
ความเสี่ยงต่อ                            
ข้อแนะนำ

เบาหวานใน 12 ปี

< = 2
< 5 %
ความเสี่ยงน้อย โอกาสเป็นเบาหวานน้อยกว่า 1 ใน 20 ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักตัว ตรวจความดันเลือด
3 5
5 10 %        
ความเสี่ยงน้อย โอกาสเป็นเบาหวานประมาณ 1 ใน 12
ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักตัว ควรตรวจความดันเลือด
6 8
11 20 %     
ความเสี่ยงปานกลาง โอกาสเป็นเบาหวานประมาณ 1 ใน 7  ควรควบคุมอาหาร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักตัว ตรวจความดันเลือด
9 -10
21 - 30 %     
ความเสี่ยงสูง โอกาสเป็นเบาหวานประมาณ 1 ใน 4
ควรควบคุมอาหาร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักตัว ตรวจความดันเลือด และตรวจน้ำตาลในเลือด
>11
> 30 %
ความเสี่ยงสูงมาก โอกาสเป็นเบาหวานประมาณ 1 ใน 3 ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักตัว และความดันเลือด และควรตรวจน้ำตาลในเลือด
                                           

เบาหวานมักไม่มีอาการในระยะแรก ดังนั้นการรู้ตัวของผู้ป่วย และการวินิจฉัยโดยแพทย์จึงมักจะช้าเกินไปทำให้ผู้ป่วยไม่ได้ดูแลรักษาเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง และความดันเลือดให้พอเหมาะ ซึ่งหากมีการควบคุมระดับน้ำตาล และปัจจัยเสี่ยงร่วมได้ดีจะทำให้มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้น้อยลง

อาหารผู้ป่วยเบาหวาน
อาหารผู้ป่วยเบาหวานนั้น อาจแบ่งง่ายๆ เป็น 3 ประเภทคือ
ประเภทที่ 1 ห้ามรับประทาน ได้แก่ อาหารน้ำตาล และ ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา ลอดช่อง อาหารเชื่อม เค้ก ช็อกโกแลต ไอศกรีม และขนมหวานอื่นๆ  เครื่องดื่ม   เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม น้ำเขียว น้ำแดง โอเลี้ยง เครื่องดื่มชูกำลัง นมข้นหวาน น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ซึ่งมีน้ำตาลประมาณ 8-15% เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นน้ำมะเขือเทศ มีน้ำตาลประมาณ 1%  ควรดื่มน้ำเปล่า น้ำชาไม่ใส่น้ำตาล
-          ถ้าดื่มกาแฟ ควรดื่มกาแฟดำไม่ควรใส่น้ำตาล นมข้นหวาน หรือครีมเทียม (เช่น คอฟฟี่เมท ซึ่งประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส 58% น้ำมันปาล์ม 33%) ควรใส่นมจืดพร่องไขมัน หรือน้ำตาลเทียมแทน
-          ถ้าดื่มนม ควรดื่มนมจืดพร่องไขมัน นมเปรี้ยวส่วนใหญ่ ไม่ใช่นมพร่องไขมัน และมีน้ำตาลอยู่ด้วยประมาณ 15% เป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกับนมถั่วเหลือง
-          ถ้าดื่มน้ำอัดลม ควรดื่มน้ำอัดลมที่ใส่น้ำตาลเทียม เช่น เป็ปซี่แมก ไดเอทโค้ก เป็นต้น

ประเภทที่ 2  รับประทานได้แต่จำกัดจำนวน ได้แก่ อาหารพวกแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) ปัจจุบันอาหารพวกแป้งนั้นไม่จำกัดจำนวน ถ้าผู้ป่วยไม่อ้วนมาก เนื่องจากลดอาหารจำพวกแป้ง ทำให้ต้องเพิ่มอาหารพวกไขมัน ซึ่งอาจเป็นผลให้ระดับไขมันสูงและเพิ่มเนื้อสัตว์ทำให้หน้าที่ของไตเสียไปเร็วขึ้น ในผู้ป่วยที่มีโรคไตร่วมด้วยผลไม้นั้นต้องจำกัดจำนวน ควรรับประทานพร้อมกับอาหารครั้งละ 1 ส่วน
ตัวอย่างการ ประมาณ 1 ส่วน ( แต่ละชนิดเท่ากับ 1 ส่วน ) เช่น

กล้วยน้ำว้าสุก    1          ผลเล็ก             อินทผาลัม         2          ผล       
กล้วยหอม          1/2       ผล                    ลูกแพร์              1          ผลเล็ก
กล้วยไข่             1          ผล                    น้อยหน่า            1          ผลเล็ก
ส้มเขียวหวาน     1          ผล                    มะม่วง              1/2       ผล       
มะละกอ            6          ชิ้นคำ                พุทรา                2          ผล       
สับปะรด            6          ชิ้นคำ                องุ่น                  10-12   ผล       
แตงโม               10        ชิ้นคำ                เงาะ                  3          ผล       
แคนตาลูป         8          ชิ้นคำ                มังคุด                2          ผล       
แตงไท               1          ถ้วย                  ละมุด               1          ผล       
ลางสาด            5          ผล                    ลิ้นจี่                  3          ผล       
ฝรั่ง                   1          ผล                    ทุเรียน               1          เม็ดเล็กเนื้อบาง ๆ
ลำไย                 8          ผล                    แอปเปิ้ล            1/2       ผล       
ลูกพรุน             2          ผล                    ชมพู่                 5          ผล       
ส้มโอ                1/5       ผล                    สตอเบอร์รี่         1          ถ้วย     
น้ำมะพร้าวอ่อน 1          ถ้วย                  เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/2       ถ้วย     

ประเภทที่ 3  รับประทานได้ไม่จำกัดจำนวน ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น ผักกาด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ถั่วงอก ทำเป็นอาหาร ตัวอย่าง  เช่น ต้มจืด ยำ สลัด ผัดผัก เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีสารอาหารต่ำ นอกจากนั้นยังมีกากอาหารที่เรียกว่า ไฟเบอร์ ซึ่งทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง

การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ประโยชน์ของการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยเป็น โรคเบาหวาน
·   ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เพราะขณะออกกำลังกายกล้ามเนื้อ  และไขมันจะใช้น้ำตาลเพิ่มขึ้น
·   ช่วยให้น้ำหนักตัวลดลง ซึ่งจะทำให้อาการของโรคเบาหวานดีขึ้น
·   ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ซึ่งจะลดโรคแทรกซ้อนบางอย่างของเบาหวานได้
การเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย
         -   ผู้ป่วยต้องมีป้ายแสดงตัวว่าเป็นเบาหวานติดตัวไว้เสมอ
         -   ตรวจดูเท้าว่ามีแผล ตาปลา หรือการอักเสบใดๆ
         -   ใส่รองเท้าอย่างเหมาะสมสำหรับการออกกำลังกาย และต้องสวมถุงเท้าทุกครั้ง
         -   ต้องสามารถทราบภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และมีน้ำตาลติดตัวเสมอ
         -   ดื่มน้ำให้พอทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย
หลักการออกกำลังกาย  ควรทำสม่ำเสมอ อย่าให้ขาดตอนอย่างน้อยวันละ 16-20 นาที หรือถึง 1ชั่วโมง จนเหงื่อออกซึม ๆ และสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหมและไม่ควรออกกำลังกายขณะหิวหรืออิ่ม
วิธีการออกกำลังกาย ทำได้หลายอย่าง เช่น เดินไกล ๆ วิ่ง  กายบริหาร โยคะ รำมวยจีน เป็นต้น จะใช้อย่างใดควรทำตามถนัด และเหมาะสมกับวัยหรือ โรคแทรกซ้อนทางหัวใจอื่น ๆ
         - อายุมาก อาจเพียงเดินหรือบริหารท่าง่าย ๆ ในรายที่มีโรคหัวใจแทรก ต้องระมัดระวังไม่ให้ออกกำลังกายมากเกิน         
           ไป และจะต้องหยุดทันทีเมื่อรู้สึกเหนื่อย หรือเจ็บแน่นหน้าอก เป็นต้น
        - การทำงานด้วยแรงกายก็ได้ประโยชน์ เช่น ทำสวน ทำนา ทำไร่ เดินไกล ตักน้ำ ขุดดิน เข็นรถ เป็นต้น แต่ต้องมาก     
          พอให้มีเหงื่อออก และทำติดต่อกันอย่างน้อย 15 นาที ทำวันละครั้งหรืออย่างน้อย วันเว้นวัน

หยุดออกกำลังกายทันทีเมื่อมีอาการ
·       ตื่นเต้นกระสับกระส่าย
·       มือสั่น ใจสั่น
·       เหงื่อออกมากผิดปกติ อ่อนเพลีย
·       ปวดศีรษะ ตาพร่า หิว
·       เจ็บแน่นหน้าอก หรือ เจ็บที่หน้าอกร้าวไปที่แขน คอ ขากรรไกร
·       หายใจหอบมากผิดปกติ

ข้อควรระวัง
สำหรับผู้ที่เริ่มออกกำลังกายควรเริ่มต้นที่ละน้อยตามกำลังของตนเองก่อน อย่าให้หักโหม หรือเหนื่อยเกินไป และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย
ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานาน หรือมีโรคแทรกซ้อนหรือเป็นผู้สูงอายุ ก่อนจะเริ่มออกกำลังกาย ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน

แหล่งความรู้และช่องทางในการรักษาเบาหวาน

-    คลินิกโรคเบาหวาน ในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนทุกแห่ง
ช่องทางแหล่งความรู้
-     สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข http://www.hsri.or.th
-     สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ http://www.hiso.or.th
-     สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย http://www.diabassocthai.org
-     สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ http://www.thaihealth.or.th
-     ชมรมเพื่อเด็กและวัยรุ่นเบาหวาน http://www.thaidiabetes.com
-     สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค http://www.tncdreducerisk.com/cms/index.php
-     Bangkokhealth http://www.bangkokhealth.com/dm_htdoc/dm_health.asp
-     Siriraj E-Public Library : ข้อมูลโรคเบาหวาน http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e%2Dpl/
-     เส้นทางสุขภาพ : เบาหวาน http://www.yourhealthyguide.com/link-info/link-diabetes.htm
-     มูลนิธิหมอชาวบ้าน http://www.doctor.or.th/book/info_b.html.
-     สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย http://www.thaiendocrine.org/index.php
-     เครือข่ายวิจัยคลินิกสหสถาบัน (CRCN) http://www.crcn.in.th/
-     สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย http://www.trf.or.th/research/search.asp
-     มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ http://www.thainhf.org/ThaiNHF/index.asp

บันทึกประวัติ

วัน/เดือน/ปี
น้ำหนัก(กิโลกรัม)
ส่วนสูง
(เซนติเมตร)
ดัชนีมวลกาย
(นน./ความสูงเป็นเมตร2)
ค่าจากการคำนวณการประเมินความเสี่ยงเบาหวาน

















.............................................

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ยาคุมใช้อย่างไร

เธอยังดูดี เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน เธอทำได้ยังไงนะ...ผมแปลกใจจัง
ยาคุมใช้อย่างไร
          ง่ายๆ เลยครับ โดยให้เริ่มทานเม็ดแรกในวันแรกที่มีรอบเดือน ควรทานให้ตรงกันในเวลาเดียวกันทุกวัน ทานต่อเนื่องไปเรื่อย จนหมดแผง สำหรับชนิดแผง 21 เม็ด พอหมดแผง ให้เว้น 7 วัน โดยในระหว่างนี้ส่วนใหญ่รอบเดือนจะมา แต่ถ้าไม่มาก็ไม่ต้องกังวลค่ะ หลังจากหยุดยา 7 วัน ก็เริ่มแผงต่อไปตามปกติ สำหรับแบบแผง 28 เม็ด 7 เม็ดสุดท้ายจะเป็นเม็ดแป้ง พอทานหมดแผงแล้วก็เริ่มแผงใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดยา
          ทั้งแบบแผง 21 และ 28 เม็ดนี้ ถ้าเป็นชนิดที่มีฮอร์โมนเท่ากันหมดทุกเม็ดสามารถทานเม็ดไหนก่อนก็ได้ (ยกเว้น 7 เม็ดสุดท้ายในแบบ 28 เม็ด) แต่ถ้าใช้แบบฮอร์โมนแต่ละเม็ดไม่เท่ากัน ต้องทานเรียงตามลำดับลูกศรเท่านั้นครับ
ไม่เคยกินยาจะแพ้หรือเปล่า
          เพื่อนๆ บางคนไม่กล้าใช้ยา เพราะกังวลว่าอาจเกิดอาการแพ้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ความจริงแล้ว สมัยนี้มียาคุมให้เลือกหลากหลายสูตรนะครับ ตัวยาที่ใช้และปริมาณก็แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการแพ้แตกต่างกันไป ถ้ากลัวจะแพ้ยาละก็ ลองปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาว่าสูตรไหนที่เหมาะกับเรา หรือมีผลข้างเคียงต่ำ ถ้าจะให้มั่นใจ ก็น่าจะเลือกบริษัท ที่มีชื่อเสียงมานานก็จะมั่นใจได้ครับ
          สำหรับอาการคลื่นไส้ อาเจียนนั้นยังขึ้นอยู่กับความไวต่อฮอร์โมนของแต่ละคนซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ช่วงที่มีอาการแพ้จะอยู่ในช่วง 2-3 เดือนแรกที่เริ่มใช้ เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังปรับตัว วิธีแก้คือ ควรจะกินยาทันทีหลังอาหารเย็น หรือเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนที่ใกล้เคียงกับฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย หรือที่มีส่วนผสมของเอสโนตรเจนในสัดที่ต่ำก็จะช่วยได้ครับ
ยาคุมกับน้ำหนักตัว
          มีการวิจัยกันมาแล้วนะครับว่า ยาคุมไม่ได้มีผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่มีผลให้เกิดการบวมน้ำของร่างกาย ทำให้ดูเหมือนตัวเราอ้วนขึ้นครับ ซึ่งเป็นผลมาจากตัวฮอร์โมนเอสโตรเจนในยาคุม
          สำหรับคนที่กังวล ลองเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของฮอ์โมนที่ใกล้เคียงกับฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย หรือที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจนในสัดส่วนที่ต่ำ ก็จะลดอาการลงได้ครับ
ฮอร์โมน”สูง” หรือ “ต่ำ” ต่างกันอย่างไร
          ปริมาณฮอร์โมนสูงหรือต่ำ ให้ผลในการคุมกำเนิดใกล้เคียงกัน แต่ยาคุมสูตรใหม่ๆ ได้รับการพัฒนาให้มีฮอร์โมนที่ค่อนข้างต่ำ เพื่อลดปัญหาเรื่องผลข้างเคียงที่พบในยาคุม ที่มีปริมาณฮอร์โมนสูงครับ
          ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นสูตรที่มีปริมาณฮอร์โมนต่ำ และประเภทที่มีฮอร์โมนต่ำพิเศษ จะมีข้อดีคืออาการข้างเคียงจากเอสโตรเจนน้อยมาก แต่ต้องกินให้ตรงเวลาครับ ไม่เช่นนั้นอาจพบมีเลือดออกกะปริบกะปรอยได้ครับ