วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้อดีและประโยชน์ของการหัวเราะ

หัวเราะ” ทุกวัน สร้างภูมิคุ้มกันโรค
ข้อดีและประโยชน์ของการหัวเราะ
เสียงหัวเราะขำขันที่ เราได้ยินกันนั้นแสดงถึงอารมณ์ของเจ้าของเสียงว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ที่แจ่ม ใสเบิกบาน แต่ท่านทราบหรือ ไม่ว่า การหัวเราะนอกจากจะ ทำให้สุขภาพจิตได้ผ่อนคลายแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายมหาศาลทีเดียว…
ข้อดีและประโยชน์ของการหัวเราะ
พญ. อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า การหัวเราะบำบัดในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ หัวเราะแบบธรรมชาติมาจากใจ ซึ่งเกิดจากการถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขันอันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ วัน และ หัวเราะเพื่อการบำบัดรักษา ซึ่งการหัวเราะทั้ง 2 รูปแบบล้วนมีประโยชน์ คือ ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนประเภทปลุกเร้าเพื่อบำบัดจิตใจและฟื้นฟูร่างกาย ทำให้การทำงานของระบบ ต่างๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบหายใจ ช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญของออกซิเจน ระบบขับถ่าย ช่วยทำให้การทำงานของลำไส้เป็นปกติ ระบบการย่อยอาหาร ระบบกล้ามเนื้อบนใบหน้า ระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ผิวพรรณดี เป็นต้น
ข้อดีและประโยชน์ของการหัวเราะ
จากผลการศึกษาหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่า การหัวเราะขำขันจากความรู้สึกลึกๆ จากภายในอย่าง แท้จริง โดยไม่เสแสร้งจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีประโยชน์ ออกมาส่งผลดีต่อระบบร่างกายในส่วนต่างๆ ได้แก่ ช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด (กรณีคนไข้ที่เป็นเบาหวาน) ทำให้ระบบคุ้มกันทำงานดีขึ้น มีประสิทธิภาพ นอนหลับสบาย คลายความวิตกกังวล
ข้อดีและประโยชน์ของการหัวเราะ
นอกจากนี้ยังมีผลการ วิจัยพบอีกว่า การหัวเราะบำบัดยังช่วยลดอาการปวดและสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้โดยไม่ ต้อง อดอาหาร เพราะการหัวเราะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เวลาเราหัวเราะมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อทำงาน อย่างเต็มที่จนบางครั้งเกิดอาการเจ็บหน้าท้องหรือที่เราเรียกกันว่า ท้องแข็ง จึงถือเป็นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ซึมซับความเครียดของ ผู้ใหญ่และไม่สามารถระบายออกได้ จึงควรกระตุ้นให้เด็กได้หัวเราะบ่อยๆ เพราะการหัวเราะจะทำให้หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ส่งผลให้เด็กๆ มีการพัฒนาการทางสมองที่ดีอีกด้วย

ดังนั้นเราจึงควรหันมา ใส่ใจสุขภาพด้วยการหัวเราะ เพราะเสียงหัวเราะเป็นกุญแจสู่การมีสุขภาพดี โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรหัวเราะให้ได้ 17 ครั้งต่อวัน ส่วนเด็กๆ ถ้าหัวเราะ 400 ครั้งต่อวัน จะยิ่งดีมาก ๆ สำหรับที่มาของอารมณ์ขันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง คุณหมอ แนะนำว่า เพียงแค่เราหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลเป็นความน่ารักของธรรมชาติที่จะทำให้เรา รู้สึกขำตัวเองว่าหัวเราะทำไม วิธีนี้จะช่วยให้เกิดอารมณ์ขันอย่างแท้จริงได้เช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่าการหัวเราะจะมีประโยชน์มากมายเช่นนี้ใช่ไหมคะ…การที่เรามี สุขภาพจิตดีจะช่วยนำไปสู่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตามมา แถมใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ชิดเพราะเป็นคนอารมณ์ดี ถือเป็นการสร้างเสน่ห์ไปในตัว

สรรหามาบอก

- โรงพยาบาลรามาธิบดี ขอเชิญประชาชนทั่วไปเข้าร่วมรับฟังการบรรยายเรื่อง “อัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมอง ป้องกันได้” โดย อ.นพ.ไพโรจน์ บุญคงชื่น และ อ.สุลักษณ์ วงศ์ธีรภัค แพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลรามาธิบดี ในวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2552 ณ ห้องประชุมอรรถสิทธิ์ ชั้น 5 อาคารศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เวลา 08.30-12.00 น. ไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2201-2520

- คลินิกศัลยกรรมลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอเชิญทุกท่านร่วมฟังสัมมนาในหัวข้อ “ถ่ายเป็นเลือด อันตรายกว่าที่คิด” รับฟังสาระความรู้เกี่ยวกับวิธีการปราบริดสีดวงทวารให้อยู่หมัดและนวัตกรรม ทางเลือกใหม่ในการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ร่วมพูดคุยถึงประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการเป็นริดสีดวงทวารกับ บ๊วย-เชษฐวุฒิ วัชรคุณ และบริการให้คำปรึกษาเฉพาะด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ใน วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2552 เวลา 07.00-11.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 7 อาคารเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลกรุงเทพ สอบถามข้อมูลและสำรองที่นั่งได้ที่ Contact Center โทร. 1719

- โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ขอเชิญคุณแม่ที่รักสวยรักงามเข้าร่วมกิจกรรม “Pretty Mom เคล็ดไม่ลับของคุณแม่คนสวย” รับฟังเคล็ดลับการดูแลตัวเอง และวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนและหลังตั้งครรภ์ เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นใจทั้งทางร่างกายและจิตใจ ใน วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2552 ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 7 โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สำรองที่นั่งฟรีได้ที่ โทร. 0-2686-2700 ต่อ 3348

ขอขอบคุณข้อมูลประกอบจาก เดลินิวส์

อาการปวดประจำเดือน เสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลต ซีสต์

ภัยเสี่ยงหญิงตัดมดลูกทิ้ง…มีบุตรยาก!!! (เดลินิวส์)
อาการปวดประจำเดือน เสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลต ซีสต์
ผู้หญิงเมื่อประจำเดือนมาทีไร หลายคนมัก มีอาการปวดท้องร่วมด้วยเสมอ แต่หากปวดมากและบ่อยครั้งขึ้น พึงระวัง…อาจเป็น “ช็อกโกแลต ซีสต์” ได้!
อาการปวดประจำเดือน เสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลต ซีสต์
นพ.อุดมศักดิ์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์ เล่าถึงการเกิดของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ให้ฟังว่า โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น หรือยาวกว่านี้ ในแต่ละบุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์

ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือน ออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในทุกๆ เดือน

แต่สำหรับโรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออก จากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่างๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่ รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่าเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่” (Endometriosis)

“มีอาการปวดท้องน้อย เรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุกๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่างๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก


สิ่งที่จะบ่งชี้ว่า อาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้

เนื่องจากเป็นโรคที่ ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลางๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน

พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง มีอาการประมาณ 1 ปี การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง

กรณี ถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง

ภาวะของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้ จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง

นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า “สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น”

ถ้าเป็นแล้วไม่ต้อง กลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมากๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน

เมื่อมีอาการปวดในระหว่างมีประจำเดือนอย่าชะล่าใจ…หากอาการปวดนั้นทวีขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือน!!
อาการปวดประจำเดือน เสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลต ซีสต์
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เดลินิวส์

ดื่มเบียร์ช่วยให้ผิวสวย ป้องกันโรคหัวใจ

เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง

สำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น

ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์

ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%

ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  

ดื่มเบียร์ช่วยให้อายุยืน, ดื่มเบียร์ป้องกันเบาหวาน,เบียร์มีวิตามิน,เบียรืมีเกลือแร่,เบียร์ช่วยให้เส้นประสาทแข็งแรง,กล้ามเนื้อแข็งแรง,ช่วยให้กระดูกแข็งแรง,ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์,ป้องกันโรคหัวใจ,ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต,ช่วยให้ผิวสวย

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม (ต่อ)

สูตรลดน้ำหนัก : 3 กิโลกรัม ใน 2 วัน
สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
ควรนอนเวลา 1ทุ่ม คึ่ง ตื่น ตี 5 ครึ่ง
**** เวลา ทานอาหารที่ดี *****
เช้า เวลา 7.30 - 9.00 น.
กลางวัน เวลา 11.30-12.30น.
เย็น เวลา 15.00-16.30 น.

สำหรับสูตรนี้ ต้องงดของมัน ของทอดด้วยนะคะ ก่
อนรับประทานอาหารทุกมือ ควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว

วันที่ 1 ตื่นมา ถ่ายให้หมด และ ดื่มๆน้ำสะอาดๆ ซะ 1 ลิตร
เช้า : ขนมปังปิ้งจนแห้ง + ส้มขนาดกลางหวานไม่มาก + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
กลางวัน : ไอติ้มของวอล์ รสวลินา 1ลูก +แครอท น้ำบุรูท ประมาณ 50 กรัม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
เย็น :ปลาทูน่า + มะเขือเทศ สีดา 1 ลูก + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล

วันที่ 2 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า :แก้วมังกร + แฮม 2 แผ่น + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
กลางวัน :ไข่ต้มกินไข่ขาว + ถั่วฝักยาว ต้ม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
เย็น : ผักกาดต้ม + แคนตาลูบ ต้ม + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล

วันที่ 3 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า : ปลาทูน่า + ส้มเขียวหวาน ขนาดเล็ก 1 ผล + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
กลางวัน :แกงส้ม กินแต่ผัก + กินเปลือกกุ้งนะ + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
เย็น : ขนมปังปิ้งจนแห้ง + ลูกพรุนแห้ง 2 ลูก + ดื่มชา หรือกาแฟ ไม่มีน้ำตาล
สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
สูตรนี้เป็นสูตรที่ตายตัว ห้ามทดแทนอาหารอื่น หลังจากรับประทานแล้ว 3 วันสามารถ รับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่...ห้ามเป็นของทอด ของมันนะจ๊ะ
ที่มา http://www.ladymodern.com

สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม

สูตรลดน้ำหนัก : 9 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์
สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
สำหรับสูตรนี้ ต้องงดของมัน ของทอดด้วยนะคะ 
ก่อนรับประทานอาหารทุกมือ ควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว

ควรนอนเวลา 1ทุ่ม คึ่ง ตื่น ตี 5 ครึ่ง
**** เวลา ทานอาหารที่ดี *****
เช้า เวลา 7.30 - 9.00 น.
กลางวัน เวลา 11.30-12.30น.
เย็น เวลา 15.00-16.30 น.

วันที่ 1 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 2 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 3 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า : กาแฟไม่ใส่น้ำตาล หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (หมู, เนื้อ )
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 4 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟดำและขนมปัง 1 แผ่น
กลางวัน : สลัดผัก และไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น : โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันที่ 5 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน : ส้มตำ และไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 6 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน : ปลานึ่ง หรือ ปลาเผา ไม่จำกัด
เย็น : สลัดผัก

วันที่ 7 สูตรลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วน สูตรทำให้ผอม
เช้า : ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้นหรือไข่ต้ม 1 ฟอง
กลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม (หมู, เนื้อ)
เย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

การลดน้ำหนักตามสูตรนี้นั้น บางคนอาจลดได้มาก ได้น้อย แล้วแต่สรีระ และแล้วแต่
กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน
โดยส่วนตัวดิฉันลดได้ 5 กิโลเพราะกิจกรรมที่ทำนั้นไม่ค่อยได้เผาผลาญเท่าไร แต่ถ้าจะให้ดี ควรออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหารไปด้วย การปรับสูตร สามารถปรับได้ตามต้องการ แต่ควรคำนึงว่า ต้องรับประทานอาหารวันนึงให้ครบ 5 หมู่ด้วยค่ะ
ที่มา http://www.ladymodern.com

สูตรแก้แฮงค์ แก้เมาค้าง

วันนี้เรานำสูตรแก้แฮงค์มาฝากสำหรับนักดื่มทุกท่าน ว่าทำอย่างไรถึงจะหายมึนแล้วกลับมาสดชื่นเหมือนเดิมได้ แต่ถ้าจะให้ดีอย่าดืมกันจนแฮงค์เลยน่ะค่ะ เอาพอหอมปากหอมคอพอ
สูตรแก้แฮงค์ แก้เมาค้าง
1. ก่อนดื่มเหล้า ประมาณ 1 ชั่วโมง กินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน รองท้องไว้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ ควร ทำแกงประเภทจับฉ่าย ซึ่งมีกะหล่ำปลีเยอะๆ กินไว้ก่อน

2. ระหว่างดื่มเหล้า เลือกเหล้าขาวๆ หรือสีจางไว้ก่อน ควรจะผสมน้ำ ไม่ควรผสมโซดา เพราะ โซดาจะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านไปถึงสมองเร็วขึ้น ระหว่างกินเหล้าควรกินถั่วหรือของว่างประเภท โปรตีนพร้อมๆ กันไปด้วย

3. หลังดื่มเหล้า ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ (เช่น ดอกคำฝอย ลูกใต้ใบ เป็นต้น) 2-3 แก้ว ก่อนนอนกิน ของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือน้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้า อาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพร น้ำมะนาว คั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ ถ้าเรอได้เมื่อไหร่ ก็หายเมาค้างแน่นอนครับ

4. ควรจะหาวิตามิน บี 6 ติดกระเป๋าเอาไว้ ระหว่างการดื่มก็กินวิตามินสักครั้งหนึ่ง เพราะภาย หลังจากงานเลิกคุณจะไม่มีอาการมึนเมา หรือถ้ามีก็ไม่มากจนทำให้คุณควบคุมตัวเองไม่ได้ วิตามิน บี 6 ช่วยลด อาการเมาค้างลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งเมื่อคุณตื่นเช้าขึ้นมา มันจะช่วยไม่ให้คุณทรมานจากอาการปวดหัวเนื่องจาก เมาค้าง นอกจากนั้นเมื่อตอนกินเหล้า ก็ควรจะกินของหวานเป็นกับแกล้มไปด้วย เพื่อเป็นการชดเชยน้ำตาลในร่าง กายที่สูญเสียไป

5. รางจืด...แก้เมาได้ชะงัดนักแล สรรพคุณรางจืดตามตำรายาไทยกล่าวไว้ว่า รางจืดรสเย็นใช้ปรุง เป็นยาเขียวถอนพิษไข้ ถอนพิษสำแดง และพิษอื่นๆ ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ สำหรับในหมู่นักเลงเหล้ารุ่นเก๋ากึ๊ก ย่อมรู้ดีว่ารางจืดช่วยถอนพิษสุราด้วย จากประสบการณ์ผู้ใช้ สิ่งที่ยอมรับคือ หากดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอา การแฮงก์โอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดถอนได้แน่ หรือตามประสบการณ์ในวงเหล้า หากเคี้ยวหรืออมเถารางจืดไว้ ใต้ลิ้น ดื่มเหล้ามากแต่จะเมาน้อย สรรพคุณที่ฮิตที่สุดของรางจืดในปัจจุบันเห็นทีจะไม่พ้นการแก้อาการเมาค้าง หรือดื่มหนัก วิธีใช้ว่ากันตามแบบฉบับคลาสสิก ใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำ ผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าวยิ่งดี แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้ง ซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้ คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีนนั่นแหละ ส่วนความเข้มของยาแล้วแต่จะ ชงอ่อนชงแก่ ปัจจุบันมีผู้นำชารางจืดมาทำการค้าหลายราย สามารถเลือกใช้ตามดุลพินิจ
สูตรแก้แฮงค์,แก้เมาค้าง,ว่านรางจืดแก้เมาค้าง,วิตามินบี 6 แก้เมาค้าง
เรียบเรียงโดย นางแอ่นน้อย อ้างอิงจาก นิตยสารใกล้หมอ


วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

ต้านภัยมะเร็งตับเริ่มจากใส่ใจตัวเอง

ต้านภัยมะเร็งตับเริ่มจากใส่ใจตัวเอง
ต้านภัยมะเร็งตับเริ่มจากใส่ใจตัวเอง
ฆาตกรเงียบสาเหตุการตายของคนไทยทั้งหญิงและชายอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยคือ “มะเร็งตับ” ซึ่งเกิดจากการที่คนไทยป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นภัยร้ายที่คุกคามคนไทยมานาน เพื่อเร่งส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ ดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคไวรัสตับอักเสบบี วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก ร่วมกับ สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย และ มูลนิธิโรคตับ เปิดโครงการ “โรคไวรัสตับอักเสบ...ภัยเงียบที่ต้องรู้” ภายใต้แนวคิด “รู้จักโรค รู้อาการรู้อันตราย รู้วิธีการรักษา” โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยในโครงการจัดให้มีการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี ฟรี 8,400 รายทั่วประเทศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา มหาราชา รวมทั้งมีการจัดสัมมนาวิชาการให้บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งแพทย์ พยาบาลและนักวิชาการ พร้อมให้ความรู้ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อลดปัญหาการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ภัยเงียบที่นำไปสู่โรคร้ายต่าง ๆ สำหรับผู้สนใจสอบถามที่มูลนิธิโรคตับโทร. 0-2255-3051

รศ.นพ.ธีระ พิรัชวิสุทธิ์ นายกสมาคมโรคตับฯ เผยว่า ประเทศไทยสถิติ 5 ปีที่ผ่านมา โรคมะเร็งตับเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของชายไทย และเมื่อปี พ.ศ. 2553 กลายเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของหญิงไทยแซงหน้ามะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม โดยร้อยละ 70-75 ของผู้ที่เป็นมะเร็งตับเกิดจากโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ซึ่งคนไทยกว่า 3.5 ล้านคน เป็นพาหะเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และมีสถิติพบว่าผู้ที่เป็นพาหะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับสูงถึงร้อยละ 80 แต่คนไทยส่วนใหญ่กลับละเลย และคิดว่าเป็นโรคที่ไม่อันตราย ที่สำคัญไม่คิดไปตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี ทั้งที่โรคนี้ติดต่อกันง่ายและรุนแรงกว่าโรคเอดส์ถึง 100 เท่า เพราะติดต่อได้ทั้งทางเลือด เพศสัมพันธ์ ใช้อุปกรณ์ปนเปื้อนเลือดร่วมกัน และจากมารดาสู่บุตร ซึ่งผู้ที่เป็นไม่รู้ว่าเป็นพาหะหากไม่ตรวจเลือด และไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าการดำเนินโรคจะรุนแรงสู่โรคมะเร็งตับ โรคตับวาย รวมถึงตับแข็ง ดังนั้นไวรัสตับอักเสบบีจึงเป็นฆาตกรเงียบที่แฝงอยู่ในร่างกาย

ในงานยังมีคนดังที่เคยป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบีมาร่วมพูดคุย และรณรงค์ต้านไวรัสตับอักเสบบี นำโดย โอ-อนุชิต สพันธุ์พงษ์ เคยป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลัน แต่โชคดีไปพบแพทย์เร็วได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่องจนหายเป็นปกติ จากประสบการณ์ตรงจึงอยากให้ทุกคนหมั่นดูแลสุขภาพ หากรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ โรงพยาบาลและแพทย์เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด อย่ากลัวว่าไปแล้วจะตรวจเจอโรคอะไร เพราะเชื่อว่าทุกโรคยิ่งพบเร็วยิ่งรักษาง่ายขึ้น

ด้าน ยุ้ย-ณพอาภา เทวกุล ณ อยุธยา ที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และเมื่อไม่นานมานี้ผลตรวจสุขภาพมีค่าการทำงานของตับที่ผิดปกติเล็กน้อย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็มีค่าการทำงานของตับผิดปกติเช่นกัน แต่ความผิดปกติของตัวเองเกิดจากการพักผ่อนน้อย หรือกินอาหารไม่มีประโยชน์ เมื่อรู้ต้นเหตุจึงสามารถป้องกันและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม ปิดท้ายที่สาวหวาน หญิงน้อย-ม.ร.ว.นิภานพดารา ยุคล ยอมรับว่าโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังน่ากลัวมาก เพราะไม่แสดงอาการและสามารถติดต่อได้หลายทาง ฉะนั้นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ดีที่สุดคือ การป้องกันตัวเอง โดยการเพิ่มการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี เพราะตรวจเพียงครั้งเดียวก็สามารถรู้ผลไปตลอดชีวิต
ข้อมูลจาก dailynews
ต้านภัยมะเร็งตับ,โรคไวรัสตับอักเสบบี,มะเร็งปากมดลูก,มะเร็งเต้านม

สัญญาณอันตรายที่สาวๆ เซย์กู๊ดบายชุดชั้นใน

8 สัญญาณอันตรายที่สาวๆ เซย์กู๊ดบายชุดชั้นในทำลายสุขภาพ

สัญญาณอันตรายที่สาวๆ เซย์กู๊ดบายชุดชั้นใน
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันชุดชั้นในเป็นเสมือนเพื่อนแท้ของผู้หญิง หน้าอกที่ได้รูปช่วยเสริมเส้นส่วนโค้งส่วนเว้าให้รูปร่างดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น แต่หลายคนอาจหลงลืมไปว่าชุดชั้นในไม่ใช่เรื่องบุคลิกภาพเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของสุขภาพด้วย ล่าสุดชุดชั้นในแบรนด์ดัง “ไคร่า” (Kyra) เผย 8 สัญญาณอันตรายที่สาว ๆ ต้องเซย์กู๊ดบายชุดชั้นในตัวเก่ง เพื่อสุขภาพหน้าอกที่ดี พร้อมแนะเคล็ดลับในการเลือกชุดชั้นในตัวใหม่ที่ได้มาตรฐาน โดย โซเนีย ศรีชวาลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไคร่า โมด จำกัด เผยว่า ชุดชั้นในเป็นเสื้อผ้าชิ้นแรกที่สัมผัสผิวหนังตลอดเวลา หลังใส่ต้องเพิ่มความมั่นใจ กระชับ ส่งให้ทรวดทรงองค์เอวงดงามขึ้น ที่สำคัญต้องไม่ทำลายสุขภาพ ปกติอายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน ถ้าใส่ไม่บ่อยนักก็อาจนานถึง 1 ปี เพราะขนาดหน้าอกจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง

นอกจากเรื่องเวลาของอายุการใช้งานยังมีวิธีง่าย ๆ ที่สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองว่า เมื่อไรที่ควรทิ้งชุดชั้นใน โซเนีย มีข้อให้สาว ๆ สังเกตเริ่มจากดูสีของผ้าว่าเริ่มซีดจางหม่นหมอง, เนื้อผ้าไม่มีความยืดหยุ่น ไม่ให้ความรู้สึกกระชับอย่างเคย, สายแขนย้วยหรือยานจนรับน้ำหนักเต้าทรงไม่ไหว, เต้าทรงยับและมีคราบดำ ๆ คล้ายเชื้อราที่เกิดจากความอับชื้น ไม่ควรใส่แล้ว เพราะเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนัง, รอยต่อของตะขอเริ่มชำรุด และขาดบริเวณตัวเสื้อด้านหลัง, ยางยืดขอบบนและล่างของตัวเสื้อย้วย ขาดความยืดหยุ่น, โครงลวดทะลุออกมานอกตัวเสื้อ และสุดท้ายผ้าซับเต้าด้านในเริ่มมีรอยขาดหรือมีคราบดำเป็นจุด ๆ ถ้าตรวจดูแล้วพบว่าชุดชั้นในมีลักษณะดังกล่าวข้อใดข้อหนึ่ง ควรตัดใจเลิกใส่เพื่อสุขภาพทรวงอก

“ชุดชั้นในที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมกับสรีระจะทำให้รู้สึกเครียดโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งเกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ ทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยก่อนวัย ถ้าใส่ขนาดเล็กจนเกินไปจะเกิดรอยกดทับบริเวณใต้อก เป็นสาเหตุหรือปัจจัยที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม รวมทั้งหน้าอกผิดรูปทรงไม่สวย ไม่ได้รูปเมื่อสวมใส่เสื้อผ้า ใส่ไม่สบายอึดอัดเมื่อใส่ขนาดเล็กและหลวมจนเกินไป หรือใส่ขนาดใหญ่ไม่พอดีเต้าทรงดังนั้นการหาขนาดชุดชั้นในที่ถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญและไม่ควรละเลย การสวมใส่ที่ถูกวิธีด้วยเพื่อเป็นการทะนุถนอมทรวงอกและช่วยยืดอายุการใช้งานของชุดชั้นใน”

การใส่ชุดชั้นในที่ไม่เหมาะกับตัวเองหรือไม่มีมาตรฐานอาจทำให้เสียบุคลิกภาพและสุขภาพได้ เมื่อถึงคราวต้องเลือกซื้อชุดชั้นในตัวใหม่ ผู้บริหารแบรนด์ไคร่า แนะนำว่าชุดชั้นในที่ดีต้องได้รูปทรงเมื่อแขวน และวัตถุดิบที่นำมาใช้ยังคงสภาพที่ดีมีสีสันสดใส ที่สำคัญเมื่อนำไปลองสวมใส่แล้วพอเหมาะกับรูปร่างพอดี รวมทั้งเนื้อผ้านุ่มและกระชับเมื่อสัมผัส ตลอดจนมีป้ายบอกวิธีการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง สำคัญที่สุดของการเลือกซื้อชุดชั้นในคือ การวัดสัดส่วนเพื่อหาขนาดคัพ-ไซซ์อย่างถูกวิธี โดยยืนตรงแล้วใช้สายวัด (ด้านเซนติเมตร) วัดตำแหน่งรอบอก ให้สายวัดผ่านจุดหัวถันทั้ง 2 ข้าง จากนั้นวัดรอบใต้อก (ซึ่งบอกขนาดลำตัว) เส้นรอบวงทั้งสองตำแหน่งนี้ควรอยู่ในแนวขนานกับพื้นและไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

อาหารเพิ่มความสดใสยามอดหลับอดนอน

ในวันหนึ่งๆ คุณผู้หญิง มีเรื่องที่ให้ทำเยอะเต็มไปหมด เวลานอนก็ไม่พอ จึงทำให้วันรุ่งขึ้น มีอาการง่วงนอนในขณะทำงาน แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้มีเคล็ดลบและตัวช่วยมาฝากด้วยการเลือกทานอาหารเพื่อเพิ่มความสดใสกระปรี้กระเปร่ายามอดนอนมาฝากกันค่ะ

1. ทานผักผลไม้ อาหารเพิ่มความสดใสยามอดหลับอดนอน
เนื่งจาก ในผักผลไม้ มี โครเมียมซึ่งจะช่วยให้ รักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายของคุณผู้หญิงซึึ่งมีในแอปเปิ้ล กล้วย และมันฝรั่งค่ะ

2. ทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามิบีและซี อาหารเพิ่มความสดใสยามอดหลับอดนอน
เนื่องจากวิตามินบี ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดอาการนอนไม่หลับ ทำให้ประสาทตื่นตัว มีมากในข้าวกล้อง ธัญพืช ไข่ เนื้อสัตว์ ตับ ฯลฯวิตามินซี ช่วยต้านความเหนื่อยล้า สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย มีมากในผักและผลไม้สด เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ และผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ค่ะ

3. ทาน ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวซ้อมมือ และจมูกข้าวสาลี อาหารเพิ่มความสดใสยามอดหลับอดนอน
เพราะโพแทสเซียมและแมกนีเซียมจากธัญพืชต่างๆ ช่วยบำรุงประสาท และช่วยให้จิตใจแจ่มใส สดชื่น

4. ทานปลา อาหารเพิ่มความสดใสยามอดหลับอดนอน
เพราะร่างกายตะได้รับไขมันชนิดดีจากปลา ซึ่งอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงสมอง สร้างสมาธิและความจำให้ดีขึ้นเวลาอดนอน

5. ทานอาหารเบาๆ ย่อยง่าย อาหารเพิ่มความสดใสยามอดหลับอดนอน
เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เพราะการกินอาหารที่ย่อยยาก ทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักและอาจหลับไม่สนิทในคืนถัดๆ ไป จะยิ่งทำให้สุขภาพแย่ไปกันใหญ่ค่ะ

6. ดื่มน้ำเยอะๆ เรียกความสดชื่น อาหารเพิ่มความสดใสยามอดหลับอดนอน
เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ เมื่อรู้ตัวว่าต้องอดนอนต้องดื่มน้ำเยอะๆ ค่ะ เพราะช่วยสร้างความสมดุลให้ร่างกายของคุณผู้หญิง และป้องกันอาการร้อนในที่อาจเกิดได้อีกด้วย

ที่มา : Ladyvisa

น้ำเชื้อ (น้ำอสุจิ) กินได้หรือไม่

น้ำเชื้อ (น้ำอสุจิ) กินได้หรือไม่
น้ำเชื้อ (น้ำอสุจิ) กินได้หรือไม่
น้ำอสุจิกินได้จริงหรือ? น้ำเชื้อ (น้ำอสุจิ) กินได้หรือไม่
น้ำอสุจิ หรือน้ำกาม ประกอบด้วยโปรตีนค่อนข้างสูง การกลืนน้ำอสุจิจึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้าหากฝ่ายที่กินน้ำอสุจิมีบาดแผลที่บริเวณปาก และอวัยวะเพศของอีกฝ่ายหนึ่งมีเชื้อโรค อย่างเช่น กามโรค หรือโรคเอดส์ ก็อาจทำให้ผู้ที่กินน้ำอสุจิมีโอกาสติดโรคได้ ดังนั้น ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ควรกินเข้าไป

กินน้ำอสุจิเข้าไปแล้วจะท้องจริงไหม? น้ำเชื้อ (น้ำอสุจิ) กินได้หรือไม่
เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อกลืนน้ำอสุจิลงท้อง ตัวอสุจิจะต้องถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหาร จึงไม่สามารถทำให้เกิดการตั้งท้องได้

กินน้ำอสุจิแล้ว จะทำให้ผิวพรรณดูดี และรักษาสิวได้?  น้ำเชื้อ (น้ำอสุจิ) กินได้หรือไม่
น้ำอสุจิถึงแม้จะมีฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าสามารถช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้น และใช้ทารักษาสิวได้ แต่ว่าไม่เป็นความจริงเลย เพราะสาเหตุของการเกิดสิวเกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ ดังนั้น การรักษาสิวจึงต้องรักษาด้วยการทำความสะอาดผิวหน้า อย่าปล่อยให้หน้ามันหรือสกปรก แค่นี้สิวก็จะไม่ขึ้น

กินน้ำอสุจิแล้ว หน้าอกจะโตขึ้น (อึ๋มขึ้น)?  น้ำเชื้อ (น้ำอสุจิ) กินได้หรือไม่
ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกัน หากหลายคนเชื่อเช่นนั้นว่า หน้าอกของภรรยาของตนใหญ่ขึ้นนั้นมีได้ 3 สาเหตุใหญ่ๆ คือ ภรรยากำลังตั้งครรภ์ ,ภรรยาอ้วนขึ้น และคุณสามีได้ใช้ศิลปชั้นสูงในการนวดค่ะ

กินน้ำอสุจิ (ตอนทำ “ออรัลเซ็กซ์” แล้ว ผู้ชายจะมีความสุขมากขึ้น?)
อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลค่ะ แต่ “รู” เทียมรึจะสู้ “รู” จริงได้ละ แต่ผู้ชายบางคนก็ชอบนะคะ ที่จะให้แฟนสาวของตน “กินน้ำ” ของตนเอง เพราะว่าเวลาที่จะถึงจุดสุดยอด หากเอามา “ออก” นอกปาก ความสุขที่ได้ มันเหมือนๆ กับถูก “หยุดจังหวะ” มากกว่า

ที่มา : Ladytip.com

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไปเกิดในเพศหญิง

เผย 10 อันดับ เรื่องเพศ ยอดนิยมของสหรัฐ
 จุดสุดยอดเร็วเกินไป,ผู้หญิงถึงจุดสุดยอด,เซ็กส์ทอย,ออรัลเซ็กส์
การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไปเกิดในเพศหญิง
เว็บไซต์ Livescience ของสหรัฐได้จัดอันดับ 10 งานวิจัยใต้สะดือยอดเยี่ยมของปี 2011 ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านอึ้งไปกับเรื่องราวของมัน เพราะเชื่อหรือไม่ว่าการนั่งสมาธิก็ช่วยเพิ่มความสุขทางเพศได้ หรือแม้กระทั่งเรื่องทีีคนเคยมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ ซึ่ง 10 อันดับประกอบไปด้วยเรื่องต่างๆ ดังนี้

1.) ไม่ใช่เพียงแต่ผู้ชายที่รู้สึกว่าตนถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป
จากงานวิจัยของวารสารเพศวิทยา Sexologies ฉบับเดือน ต.ค. 2011 การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไปเกิดในเพศหญิงมากกว่าที่คิด จากกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงชาวโปรตุเกส ร้อยละ 14 ประสบกับปัญหาการถึงจุดสุดยอดก่อนเวลาอันควรอยู่บ่อยๆ ผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่สามารถควบคุมการถึงจุดสุดยอดของตัวเองได้ และมักจะรู้สึกอึดอัดหากจะมีเพศสัมพันธ์ต่อ ทำให้คู่นอนรู้สึกไม่ดี

2.) ชาวอเมริกันโปรดปรานไวเบรเตอร์ (เซ็กส์ทอยที่เป็นเครื่องระบบสั่น)
กลุ่มตัวอย่างกว่าครึ่งหนึ่งเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “ไวเบรเตอร์ เป็นส่วนหนึ่งของวิธีทางเพศของผู้หญิงที่ดีต่อสุขภาพ” เปรียบเทียบกับร้อยละ 10 ของกลุ่มตัวอย่างที่มองประโยคนี้ในแง่ลบ รวมถึงผู้มีความเชื่อที่ว่าการใช้ไวเบรเตอร์เป็นการดูถูกคู่นอนของพวกเธอ
โดยก่อนหน้านี้คณะผู้วิจัยทีมเดียวกันเคยสำรวจพบว่า มีกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงร้อยละ 53 และผู้ชายร้อยละ 45 เคยใช้ไวเบรเตอร์มาก่อน และพบความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้ไวเบรเตอร์กับความพึงพอใจทางเพศ

3.) การทำสมาธิช่วยเพิ่มความสุขทางเพศ
งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในเดือน พ.ย. ปีที่ผ่านมาพบว่า ผู้หญิงที่ “ทำสมาธิวิปัสสนา” จะมีร่างกายที่ไวต่อการตอบสนองสิ่งเร้าทางเพศ และช่วยยับยั้งความวิตกกังวลและความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ได้

4.) มนุษย์โบราณก็มีการผสมข้ามพันธุ์
ก่อนหน้านี้ในปี 2010 เคยมีข่าวการสำรวจพบว่า มนุษย์เผ่าพวกเราและนีแอนเดอทาล เคยมีความสัมพันธ์กัน แต่ในปี 2011 มีการสำรวจไปไกลกว่านั้น เมื่อมีการค้นพบในเดือน มิ.ย. ว่า นักวิจัยค้นพบหลักฐานทางดีเอนเอ ที่บอกว่ามนุษย์ยุคปัจจุบันมีชิ้นส่วนของพันธุกรรมนีแอนเดอทาลอยู่ร้อยละ 9 ยกเว้นในทวีปแอฟริกา นั่นหมายความว่า การทดลองมีเพศสัมพันธุ์กันข้ามเผ่าพันธุ์จนเกิดการผสมยีนส์กันน่าจะเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่มนุษย์เราอพยพออกจากทวีปแอฟริกา

5.) วัยรุ่นคิดว่าออรัลเซ็กส์ มีความเสี่ยงน้อยกว่า
ในเดือน ก.พ. 2011 มีการนำเสนองานวิจัยในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (American Association for the Advancement of Science) ซึ่งเปิดเผยว่า มีวัยรุ่นร้อยละ 14 คิดว่าการทำออรัลเซ็กส์ไม่ได้มีความเสี่ยงใดๆ ต่อสุขภาพ ทั้งที่ในความจริงคือมีไวรัสชื่อ papilloma virus (HPV) ที่สามารถติดต่อระหว่างคน และความเสี่ยงต่อการติดไวรัสนี้ในปากและคอจะเพิ่มขึ้นหากยิ่งมีการทำออรัลเซ็กส์ให้คู่นอนมากคน

6.) การได้รับวัคซีนต้านไวรัส ไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น
งานวิจัยเมื่อเดือน ธ.ค. 2011 เปิดเผยว่าการที่วัยรุ่นรับวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV ไม่ได้ทำให้พวกเขาอยากสำส่อนทางเพศเพิ่มขึ้น โดยรายงานระบุว่า วัยรุ่นหญิงที่ได้รับวัคซีน HPV จะใช้ถุงยางตอนมีเพศสัมพันธ์มากกว่าวัยรุ่นหญิงที่ไม่ได้รับวัคซีน น่าจะเป็นเพราะพวกเธอได้รับความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการรับวัคซีน HPV ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องอายเลย

7.) นักศึกษาชอบคุยโวเรื่องเพศมากกว่าทำจริง
ในเดือน ก.ย. นักวิจัยได้เปิดเผยผลวิจัยว่า นักศึกษาจะเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวัยเรียน รวมถึงการนอกใจเป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนมากมักจะเล่าขานต่อกัน มากกว่าจะลงมือกระทำจริงๆ โดยนักศึกษาร้อยละ 90 คิดว่า การมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างน้อย 2 คนเป็น “เรื่องปกติ” แต่มีเพียงร้อยละ 37 เท่านั้นที่มีเพศสัมพันธ์กับจำนวนคนที่ว่ามา การคุยโวเรื่องบนเตียงไม่เคยจะเก่าเลยจริงๆ

8.) ปลาหมึกน้ำลึกปล่อยสเปิร์มแล้วชิ่ง
นักวิจัยรายงานในวารสาร Biology Letters ว่าเมื่อปลาหมึก Octopoteuthis deletron พบเจอพวกเดียวกัน มันไม่ใช้เวลาดูด้วยซ้ำว่าตัวที่มันเจอเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย แต่พวกมันจะฉีดกลุ่มสเปิร์มไปที่ตัวที่เพิ่งจะเจอกันทันที โดยกลุ่มสเปิร์มก็จะยังคงติดตัวปลาหมึกตัวเป้าหมายขณะที่พวกมันว่ายน้ำต่อไป

9.) แบคทีเรียชวนแหวะบนโต๊ะกาแฟ
นักวิจัยด้านจุลชีววิทยาบอกว่า ห้องพักของชายหนุ่มโสดจะมีแบคทีเรียมากกว่าห้องพักของสาวโสด 15 เท่า และแบคทีเรียบางชนิดที่พบก็เป็นแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในอุจจาระขณะที่ในห้องของสาวโสดก็พบแบคทีเรียนี้เช่นกัน เพียงแค่มีความหนาแน่นน้อยกว่าที่พักของชายโสดเท่านั้นเอง จุดสำคัญอื่นๆ ที่พบโคลิฟอร์มแบททีเรียพวกนี้ได้แก่ รีโมทโทรทัศน์, โต๊ะข้างเตียงนอน และลูกบิดประตู

10.) คนมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ส่งผลให้มะเร็งองคชาติ
นักวิจัยได้เผยแพร่ผลงานในวารสารเวชศาสตร์ทางเพศ (Sexual Medicine) ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาเปิดเผยว่า จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างชาย 492 คนในแถบชนบทของบราซิล พวกเขาพบว่ามีถึงร้อยละ 35 ของกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่าตนมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ครั้งหนึ่งในชีวิต และนักวิจัยก็พบว่าคนที่ป่วยเป็นมะเร็งองคชาติมักจะเป็นคนเดียวกับที่มีเพศสัมพันธุ์กับสัตว์ พวกเขาตั้งสมมุติฐานว่าการบาดเจ็บขององคชาติและสารคัดหลั่งในสัตว์สปีชี่ส์อื่นอาจเป็นตัวทำให้เกิดเชื้อโรคที่เป็นเหตุของมะเร็ง เช่นเดียวกับ papillomo ไวรัสของคน
Mthai News


เคล็ดลับและเทคนิคลดริ้วรอย และแผลเป็น ด้วยการทำ Dermaroller

เคล็ดลับและเทคนิคการใช้เข็มกับผิวหน้า หรือเดอร์มาโรลเลอร์ที่หลายคนเคยได้ยินนั้นมีมานานหลายปีแล้ว โดยการใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์ต่างๆ หลากหลายแบบ เพื่อทำให้ริ้วรอยลึกและแผลเป็นที่เป็นหลุมนั้นอ่อนนุ่มลงและตื้นขึ้น

ใครที่สนใจ Dermaroller ควรอ่าน

เคล็ดลับและเทคนิคการใช้เข็มกับผิวหน้า หรือเดอร์มาโรลเลอร์ที่หลายคนเคยได้ยินนั้นมีมานานหลายปีแล้ว โดยการใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์ต่างๆ หลากหลายแบบ เพื่อทำให้ริ้วรอยลึกและแผลเป็นที่เป็นหลุมนั้นอ่อนนุ่มลงและตื้นขึ้น

Dr.Philippe Simonin ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้ตีพิมพ์บทสรุปของเขาใน Baran’s Cosmetic Dematology ในปี 1994 ซึ่งเขาตั้งชื่อวิธีการนี้ว่า Electroridopuncture (ERP) และการแพทย์ในวงกว้างก็ยังไม่ทราบเกี่ยวกับวิธีรักษาแบบนี้มากนัก ในการศึกษานี้นั้น Dr. Philippe ได้ทดลองกับผู้ป่วยจำนวน 600 คน โดยเขาได้แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวหน้าเหี่ยวย่น และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็นเก่า เขาได้ทำการรักษาให้กับผู้ป่วยทุกคน คนละ 10 ครั้ง พบว่าผู้ป่วยในกลุ่มที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวเหี่ยวย่นนั้น 40% ของกลุ่มจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน 22% ดีขึ้นปานกลาง และ 13% ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย โดยดูผลจากการเปรียบเทียบกับการเก็บภาพก่อนรักษา

ในกลุ่มที่มีปัญหารอยแผลเป็นเก่า พบว่า 60% ของกลุ่มดีขึ้นมากหลังการรักษา 5-6 ครั้ง แผลเป็นที่ได้ผลดีที่สุดคือที่เป็นหลุม

ผู้บุกเบิกในเรื่องการใช้เข็มกับผิวหน้าอีกท่านหนึ่งคือ Dr. Andre Caminrand ศัลยแพทย์พลาสติกชาวแคนาดา ซึ่งได้พบวิธีนี้จากการสังเกตโครงสร้างผิว และรอยบุ๋มของแผล จากการรักษาผู้ป่วยที่มาทำศัลยกรรมตกแต่งผิวหน้า และเคยมีประสบการณ์ในการสักเพื่ออำพรางรอยแผลเป็น เขาจึงทดลองศัลยกรรมตกแต่งผิวหน้าบริเวณที่เป็นแผลเป็นด้วยการสักโดยไม่ใช้ สี และสังเกตโครงสร้างกับสีผิว เขาได้ตีพิมพ์บทความที่ได้จากบทสรุปของเขาใน JACPS ในปี 1992

การทำเดอร์มาโรลเลอร์นี้ปลอดภัยต่อทุกสภาพผิวและสีผิว ไม่มีความเสี่ยงในการเป็นรอยแดง-ดำจากการอักเสบ (สีผิวที่เข้มขึ้นจากการบาดเจ็บของผิว) เช่นเดียวกับผิวหนังแท้ที่จะไม่เกิดความเสียหายระหว่างการใช้เข็มในขั้นตอน การทำเดอร์มาโรลเลอร์ นี่เป็นประเด็นหลักซึ่งจะมองเห็นความปลอดภัยได้อย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบการใช้เข็มเดอร์มาโรลเลอร์ กับการทำหน้าด้วยวิธีการอื่นๆ เช่นการทำ laser การลอกหน้าด้วยเคมี และการกรอหน้าด้วยอัญมณี

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนจากการทำเดอร์มาโรลเลอร์นี้รวมถึง :
- ความเสี่ยงในการติดเชื้อน้อย
- ระยะเวลาในการรักษา และการพักฟื้นสั้น
- ค่าใช้จ่ายต่ำ

การจิ้มเข็มลงไปที่ผิวหน้าให้เกิดรูขนาดเล็กเป็นร้อยๆครั้งในแต่ละรูบนผิวนั้น จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการรักษาแผลตามธรรมชาติ ช่วยให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ในบริเวณที่รักษาด้วยวิธีนี้ และการรักษาด้วยวิธีนี้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่จะเติมเข้าไปในรอยแผลเป็นบุ๋ม และริ้วรอยลึกได้ ซึ่งกระบวนการเติมคอลลาเจนด้วยวิธีธรรมชาตินี้จะเกิดขึ้นและให้ผลต่อเนื่อง ไปประมาณ 12 เดือนหลังจากการรักษา
ผลที่ได้รับก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนให้ผลถึง 90% ในรายที่เป็นรอยแผลเป็น แต่ในบางคนก็อาจให้ผลต่ำกว่า 50% อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยทุกรายจะต้องมีพัฒนาการที่ดีขึ้นบ้าง

ปัจจุบัน นี้มีลูกกลิ้งเข็มสำหรับใช้ส่วนตัวจำหน่ายอยู่มากมาย และมีความยาวของเข็มที่แตกต่างกันไปหลากหลายขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางของเข็ม และจำนวนเข็มบนลูกกลิ้งนั้นเป็นประเด็นที่ทำให้ผู้ใช้สับสน ด็อกเตอร์พิคอาร์ตได้ทดลองลูกกลิ้งที่มีความยาว และเส้นผ่านศูนย์กลางของเข็มแตกต่างกันหลายขนาด โดยกล่าวว่าจำนวนของเข็มที่อยู่บนลูกกลิ้งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญน้อยที่สุด เพราะเวลาที่เรากลิ้งเข็มซ้ำไป-มาก็จะทำให้เกิดจำนวนรูเข็มบนผิวหนังได้ มากอยู่แล้ว เส้นผ่าศูนย์กลางของเข็มนั้นสำคัญที่สุด เพราะเราต้องการทำให้เกิดรูบนผิวหนังโดยไม่ก่อให้เกิดรอยแผลใหม่ขึ้น จากประสบการณ์ของด็อกเตอร์พิคอาร์ต เส้นผ่านศูนย์กลางของเข็มที่เหมาะที่สุดที่จะไม่ทำให้เกิดรอยแผลใหม่บนผิว หนังคือ 0.25 มม. เข็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่านี้ก็ใช้ได้ แต่จะไม่ก่อให้เกิดความกว้างของรูบนผิวหนังที่เพียงพอต่อผลการรักษา และอาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลที่ได้จากการรักษา
ความยาวของเข็มก็เป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ เป้าหมายของการทำเดอร์มาโรลเลอร์นั้นคือ ต้องการให้เข็มนั้นจิ้มเข้าไปที่ผิวชั้นหนังแท้ที่ชั้นบนสุดของชั้นนี้ ซึ่งเป็นชั้นผิวชั้นที่สอง ผิวหนังชั้นนี้จะมีส่วนประกอบของ stem cells เป็นจำนวนมาก ที่สามารถสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ ผิวชั้นหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอกสุด) จะมีความแตกต่างในความลึกของชั้นผิวตั้งแต่ 0.05mm ที่ผิวเปลือกตา ไปจนถึง 1.5mm ที่ผิวบริเวณส้นเท้า
ผิวชั้นหนังกำพร้าบนใบหน้า (ที่อื่นนอกเหนือจากเปลือกตา) จะมีความแตกต่างในความลึกของผิวตั้งแต่ 0.3mm ถึง 1mm ด้วยเหตุนี้ เข็มที่มีความยาว 0.75 มม. ถึง 2 มม. นั้นจึงยาวเกินความพอดีที่เลยชั้นบนสุดของหนังแท้ จากประสบการณ์ส่วนตัวของด็อกเตอร์กล่าวว่า เข็มที่มีความยาวมากกว่า 2 มม. มีแนวโน้มที่จะทำให้ผิวฉีกขาดได้

การรักษาผิวหน้าด้วยวิธีการเดอร์มา โรลเลอร์นั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษารอยแผลสิวชนิดที่เป็นหลุม ซึ่งให้ผลดีเป็นที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยวิธีการเลเซอร์ โดยการทำอย่างต่อเนื่อง และทำซ้ำหลายๆครั้ง

เนื่องจากผิวจะมีการจด จำบริเวณที่มีการรักษาไปแล้ว ด็อกเตอร์พิคอาร์ตแนะนำว่าควรใช้วิธีการรักษานี้ซ้ำทุก 1-2 ปี และแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ลูกกลิ้งเข็มต่อเนื่องที่บ้าน เพื่อให้การรักษาได้ผลต่อเนื่องยาวนานยิ่งขึ้น

ข้อมูลจาก www.companyjob.jobteenee.com