วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บริจาคเลือดลดอาการเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

บริจาคเลือดลดอาการเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

คุณรู้หรือไม่? การบริจาคเลือดลดอาการเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

88% คือจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เนื่องจากโรคนี้มีผลเกี่ยวเนื่องกับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย ธาตุเหล็กที่สูงจะส่งผลต่อไขมันทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จนหลอดเลือดตีบ การบริจาคเลือดจะลดความเสี่ยงของการเป็นโรคนี้ได้

บริจาคเลือดลดอาการเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน 
การบริจาคเลือดช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นทางอ้อมอีกด้วย ในเลือดของคนเราประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง) และเม็ดเลือดแดง 8% ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 18 แก้วน้ำ  ในผู้ชายจะเท่ากับ 4-6 ลิตร ส่วนผู้หญิงจะเท่ากับ 4-5 ลิตร โดยมีไขกระดูกทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีอายุขัยไม่เท่ากัน เมื่อหมดอายุขัยเม็ดเลือดจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปแบบของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ และไขกระดูก ก็จะทำการผลิตเลือดชุดใหม่เข้ามาแทน แท้จริงแล้วร่างกายคนเราต้องการเลือดเพียง 16 แก้วน้ำ ส่วนที่เหลือคือส่วนสำรอง การบริจาคเลือดประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงไม่เป็นอันตรายใดๆ แถมยังเร่งให้ร่ายกายสร้างเลือดใหม่ซึ่งแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากกว่า กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก และยังเป็นการตรวจสุขภาพทางอ้อม หากผู้บริจาคมีความผิดปกติในเลือดเมื่อใด ทางสภากาชาดจะแจ้งให้ผู้บริจาคทราบทันที

บริจาคเลือดลดอาการเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผลไม้ 7 ชนิดที่ผู้หญิงควรรับประทาน

ผลไม้ 7 ชนิดที่ผู้หญิงควรรับประทาน (เป็นประจำ)

ผลไม้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและได้รับสาร วิตามิน อย่างครบถ้วน แต่สิ่งที่ผู้หญิงควรรู้ก็คือกินผลไม้อะไรถึงจะมีผลโดยตรงต่อสุขภาพผู้หญิง


ลูกพรุน เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณเป็นยาระบาย (ไฟเบอร์) มีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย ธาตุเหล็กสูง และยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ    หลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3  วิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและสังกะสี เมื่อกินเป็นประทำจะทำให้ ผิวใสมีเลือดฝาด บำรุงเลือด ต้านโรงมะเร็ง
    

         ถั่ว เป็นพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็กและวิตามินเอ บี อี เค แคลเซียม เหล็ก 
ในการวิจัยพบว่าถั่วยังมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ไฟเบอร์ ไขมัน โคลีน 
กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว เมธิโอนีน เมื่อกินเป็นประจำจะช่วยลดโคเลสเตอรอล 
ช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบและโรคหัวใจ


       บร็อกโคลี่ เป็นพืชที่อุดมไปด้วยเบต้า แคโรทีน มีวิตามินเอ ซี 
และซีลีเนียม ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยต้านมะเร็ง ช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหียวย่นซึ่งทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยลดอาการเสี่ยงต่อการเกิดไขข้ออักเสบ ต้อกระจก เบา หวาน และโรคหัวใจ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดระดับคลอเลสเตอรอล 
และความดันโลหิตสูง




       กล้วย เป็นแหล่งสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต มีวิตามินบี 6 โพแทสเซียม และเบต้าแคโรทีน ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทช่วยให้ตื่นตัว สดชื่น หลับสะบาย และที่สำคัญช่วยควบคุมความอยากอาหาร


     ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามันเอ บี1 บี2 ซี มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีมากกว่ามะนาว 4 เท่า แล้วยังมีกรดนิโคตินิก สารเพคตินและแทนนิน ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยต้านโรงหวัด บำรุงเหงือนและฟัน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยให้ถ่ายสะบาย แก้ท้องผูก บรรเทาอาการท้องร่วง ช่วยสมานแผล บรรเทาอาการเจ็บคอ ช่วยระงับกลิ่นปาก


    แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 บี6 ซี ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน แล้วยังมีกรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก แอปเปิ้ลจัดเป็นผลไม้ ที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีเลยเดียว ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยลดระดับน้ำตาล ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

    ส้ม เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว เป็นแหล่งรวม วิตามินและเกลือแร่ เช่น วิตามินเอ ซี ดี และแคลเซียม มีเส้นใยอาหารในธรรมชาติ จึงช่วยในเรื่องขับถ่ายได้ดี ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ผิวเกลี้ยงเกลา และสดชื่น และยังช่วยลดการเกิดริ้วรอย

ผลไม้ 7 ชนิดที่ผู้หญิงควรรับประทาน
ข้อมูลจาก http://classified69.wordpress.com
ผลไม้ 7 ชนิดที่ผู้หญิงควรรับประทาน

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลดไข้ด้วยแอปเปิ้ล


ลดไข้ด้วยแอปเปิ้ล
บางคนพอร่างกายอ่อนแอ ก็เป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อน ทว่าป่วยอย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะต้องกินยาเรื่อยๆ คงไม่ดีนัก อีกทั้งคนกินยายากก็ยิ่งลำบากใจ วันนี้ 'มุมสุขภาพ' ภูมิใจแนะนำผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณลดไข้ได้ นั่นคือ "แอปเปิ้ล"

ลดไข้ด้วยแอปเปิ้ล

ในแอปเปิ้ล อุดมด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งวิตามินบี1 บี2 บี6 โพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก และแมกนีเซียม ช่วยคลายเครียด ล้างพิษในไตและตับ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ไฟโตเคมิคอลเควอเซติน กรดมาลิก และเส้นใยแพ็กติน ให้สรรพคุณช่วยย่อย ล้างกระเพาะและลำไส้ ที่สำคัญน้ำซึ่งสกัดจากแอปเปิ้ล ดื่มแล้วช่วยลดไข้ได้

         เพื่อความอร่อย และเพิ่มคุณค่า ยังสามารถผสมน้ำแอปเปิ้ลรวมกับน้ำที่สกัดจากแครอต เป็นการเติมสรรพคุณกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกด้วย

หากต้องการทำเป็นดื่มน้ำแอปเปิ้ลและแครอต มีส่วนผสมที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย...
 •แอปเปิ้ลเขียว 1 ถ้วย
 •แครอต 1 ถ้วย
 •น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
ลดไข้ด้วยแอปเปิ้ล
ขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแอปเปิ้ลเขียวและแครอต จากนั้นขูดแครอตเป็นเส้นๆ ส่วนแอปเปิ้ลเขียวหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก ได้แล้วนำส่วนผสมไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแข็งป่นช่วยเพิ่มรสชาติ และควรดื่มทันที.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

ขอบคุณสำหรับข้อมูล สาระน่ารู้ เคล็ดลับสุขภาพ และ ข่าวดีๆที่ร่วมสร้างสรรค์สังคม และการศึกษาไทย เดลินิวส์ออนไลน์

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ยุงชอบกัดคนมีกลิ่นตัว

ยุงชอบกัดคนมีกลิ่นตัว

ยุงชอบกัดคนมีกลิ่นตัว
         นั่งอยู่หลายคนแต่ทำไมยุงรุมโซม!! กัดเฉพาะบางคน ข้อสงสัยนี้กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงกันมาก บางก็ว่าชอบกัดผู้หญิง บางก็ว่าชอบกัดผู้ชาย ในที่สุดก็ได้มีการวิจัยจนได้ข้อสรุปว่า ยุงชอบกัดคนที่เหงื่อออกมาก!! ซึ่งทำให้กลิ่นตัวเปรี้ยว โดยยุงสามารถได้กลิ่นดังกล่าวไกลถึง 30 เมตร
           
         นอกจากนี้ ยุงยังมักจะบินไปกัดคนที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการเผาผลาญของร่างกายออกมามาก ซึ่งมักจะเป็นคนที่หายใจแรง คนตัวใหญ่ รวมถึงคนท้อง ขณะที่คนตัวอุ่นๆ และตัวร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิบริเวณผิวหนังสูง ก็เป็นปัจจัยดึงดูดยุงได้เช่นกัน
          
        ส่วนสาเหตุที่ยุงกัดแล้วคัน เนื่องจากระหว่างที่ยุงแทงปากลงที่ผิวและดูดเลือดนั้น ยุงจะปล่อยของเหลวที่ทำปฏิกิริยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดออกมาเพื่อให้ดูด เลือดได้ง่าย ของเหลวหรือที่คนมักเรียก น้ำลายยุงนั้นจะทำให้บางคนเกิดอาการแพ้จึงรู้สึกคันผิวบริเวณที่ถูกกัดเป็นตุ่ม บวม และแดง

1. ยุงชอบพื้นผิวสีเข้มหรือดำมากกว่าสีขาว คนตัวดำจะถูกยุงกัดมากกว่า
2. ยุงสามารถตรวจจับความร้อนได้
3. ยุงสามารถจับกลิ่นกายโดยเฉพาะคนมีเหงื่อเยอะ (กลิ่นเหม็นเปรี้ยว)

          ไปอาบน้ำ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด!! ถ้าอาบน้ำแล้วยุงยังตอมอยู่ก็หาเสื้อหนาๆที่ปิดมิดชิดมาใส่ หรือทาโลชั่นกันยุง หรือหาที่จุดกันยุ่ง ส่วนบางคนที่ทุกยุงกันแล้วคันและมีอาการเป็นแผลบวมแดง ให้รีบล้างน้ำและถูสบู่บริเวณที่ถูกกัด แล้วใช้ผ้าเย็นหรือเจลเย็นประคบลดบวมและรอยแดง หากยังคันให้ใช้วิธีลูบเบาๆ หลีกเลี่ยงการเกา เพราะสิ่งสกปรกในเล็บอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียกลายเป็นแผลอักเสบ

1. มีลมพิษขึ้นที่ส่วนอื่นของร่างกายผิวหนังแดงและคันตามตัว
2. หนังตาและปากบวม
3. แน่นหน้าอก เสียงแหบ
4. หัวใจเต้นผิดปกติ
5. กระสับการส่าย สับสน
6. ไอ สำลักอาหาร

ข้อมูลจาก http://classified69.wordpress.com

ยุงชอบกัดคนมีกลิ่นตัว

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สิ่งที่ผู้หญิงและสาว สาว ควรรู้

สิ่งที่ผู้หญิงและสาว สาว ควรรู้


1. กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ?

จริง! เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียด นำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และเหี่ยวย่นในที่สุด

2. คนผิวแห้งมีโอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ?

จริง! เพราะคนผิวแห้งขาดซีบัม หรือสารไขมัน กลไกปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร คนผิวแห้งควรดูแลทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิว

3. เอาน้ำแข็งถูหน้า ก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ?

ไม่จริง! แก้ปัญหาหน้ามันให้ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วใบหน้า ไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะแห้งไปภายใน 5-10 นาที ทำก่อนนอน หน้าก็หายมัน

4. สวมเสื้อผ้าหนาๆ ให้เหงื่อออกเยอะทำให้ผอมเร็ว จริงหรือ?

ไม่จริง! เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมัน พอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็เท่าเดิม

5. การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ?

จริง การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆ ค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใส

6. การฝึกกลั้นหายใจ ชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ?

จริง การหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัยและรอยคล้ำได้

7. การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ?

ไม่จริง! หัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ถึง 20% ถ้าได้หัวเราะวันละสัก 10-15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานมาก ถึง 50 แคลอรี

8. ใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำ ทำให้ขาใหญ่ จริงหรือ?

จริง! เพราะช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษให้เข้ากับ สภาพอากาศ เมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์

สิ่งที่ผู้หญิงและสาว สาว ควรรู้


ข้อมูลจาก : classified69

สุดยอดยาสีฟัน ยาสีฟันกำจัดรอยขีดข่วนบนซีดี

นอกจากยาสีฟันจะทำให้ฟันสะอาดสดใสแล้ว  ยาสีฟันยังใช้งานได้อย่างวิเศษกับของอย่างอื่นที่ไม่ใช่ฟันด้วยล่ะ  และนี่คือการใช้ยาสีฟันแบบสีขาว (WHITENING) กับสิ่งของที่อยู่รอบตัวคุณ

สุดยอดยาสีฟัน ยาสีฟันกำจัดรอยขีดข่วนบนซีดี

1. บรรเทาอาการระคายเคืองจากแมลงกัดต่อยหรือแผลพุพอง ทายาสีฟันลงไปบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยโดยตรง มันจะบรรเทาอาการคันและลดความบวมลงได้ ส่วนแผลพุพองยาสีฟันจะทำให้แผลแห้งและหายเร็วขึ้น โดยควรทาทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

2. บรรเทาแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก สำหรับแผลเล็กน้อยที่ไม่มีรอยเปิด ยาสีฟันจะให้ความเย็นที่ช่วยบรรเทาอาการได้ โดยต้องทาลงไปทันทีหลังเกิดรอยแผล

3. กำจัดสิว อยากให้สิวหายเร็วขึ้นงั้นหรือ? ลองทายาสีฟันลงบนสิวแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วล้างออกในตอนเช้าสิ สิวจะยุบลงและหายเร็วขึ้น

4. ทำความสะอาดเล็บ ทั้งเล็บและฟันมีส่วนประกอบของกระดูกเหมือนกัน ยาสีฟันจึงดีกับเล็บเช่นกันเพราะฉะนั้นอย่าลืมใช้แปรงและยาสีฟันขัดเล็บเป็นประจำ เพื่อช่วยให้เล็บสะอาดเป็นเงางาม และแข็งแรงขึ้น

5. ทำให้ผมอยู่ทรง ยาสีฟันแบบเจลมีส่วนผสมของโพลีเมอร์ที่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนผสมแบบเดียวกับที่เจลแต่งผมส่วนใหญ่ใช้ ฉะนั้นถ้าคุณมองหาอะไรที่จะสร้างสรรค์ผมซึ่งต้องการความอยู่ตัวแบบสุด ๆ แต่เจลแต่งผมเกิดขาดมือ ลองใช้ยาสีฟันแบบเจลแทนก็ได้

6. กำจัดกลิ่นเหม็น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกระเทียม หัวหอม ปลา หรืออาหารกลิ่นแรงอื่น ๆ ที่ติดอยู่บนมือ ลองใช้ยาสีฟันถูมือ มันจะช่วยกำจัดกลิ่นพวกนี้ได้

7. กำจัดรอยเปื้อน รอยเปื้อนที่กำจัดยากบนเสื้อผ้าหรือพรม ยาสีฟันสามารถช่วยได้สำหรับเสื้อผ้าทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนโดยตรงและขยี้เบา ๆ จนกระทั่งรอยเปื้อนหายไป แล้วซักตามปกติ (แต่ควรระวัง ถ้าใช้ยาสีฟันแบบไวเทนนิ่งบนผ้าสีอาจทำให้สีผ้าซีดลงได้) สำหรับรอยเปื้อนบนพรมทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อน ใช้แปรงขัดจนรอยเปื้อนจางลง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

8. ชุบชีวิตรองเท้าเก่า ทำความสะอาดรองเท้า ที่วิ่งสกปรกมอมแมมแต่ซักน้ำไม่ได้ ด้วยการทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนแล้วขัดเบา ๆ จากนั้นเช็ดให้สะอาด

9. กำจัดรอยสีเทียนบนผนัง ใช้ผ้าชุบน้ำพอชื้น ๆ กับยาสีฟันขัดเบา ๆ บนรอยเปื้อน

10. ทำความสะอาดเครื่องประดับเงิน ทายาสีฟันลงบนเครื่องประดับเงิน แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นใช้ผ้าสะอาด ๆ เช็ดออกในตอนเช้า ส่วนเครื่องประดับที่เป็นเพชร ก็สามารถใช้แปรงนุ่ม ๆ ยาสีฟันเล็กน้อย และน้ำขัดเบา ๆ ให้แวววาวดังเก่าได้ แต่อย่าใช้กับมุกเพราะจะทำให้เคลือบผิวเสียหายได้

11. กำจัดรอยขีดข่วนบนซีดี ผลดีกับรอยขีดข่วนตื้น ๆ และรอยเปื้อนทั่วไปแค่ทายาสีฟันบาง ๆ ลงบนแผ่นซีดีถูเบา ๆ แล้วเช็ดด้วยน้ำให้สะอาด

12. ทำความสะอาดคีย์เปียโน น้ำมันบนผิวหนังอาจติดอยู่บนคีย์เปียโนทำให้มีฝุ่นเกาะติดและเกิดความสกปรกขึ้นได้ ให้ทำความสะอาดมันด้วยผ้าที่ปราศจากขุยชุบน้ำพอชื้น ๆ แตะยาสีฟันเล็กน้อยจากนั้นเช็ดซ้ำด้วยผ้าสะอาด ๆ อีกผืน

13. กำจัดกลิ่นขวดนมเด็ก ถ้าขวดนมเริ่มมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของนมบูด ลองใช้ยาสีฟันทำความสะอาดคราบตกค้างและกำจัดกลิ่น แต่ต้องล้างน้ำสะอาดให้หมดจดจริง ๆ ก่อนใช้

14. กำจัดรอยไหม้บนหน้าเตารีด ซิลิก้าในยาสีฟันสามารถช่วยกำจัดคราบดำ คราบไหม้ พวกนั้นได้

15. คืนความใสให้เลนส์ แว่นตาสำหรับว่ายน้ำหรือดำน้ำอาจขุ่นมัวได้เมื่อใช้ไปนาน ๆ  ก่อนจะซื้ออันใหม่ลองทายาสีฟันเล็กน้อย ลงบนกระจกแว่นถูให้ทั่วแล้วล้างให้สะอาด แต่อย่าขัดแรงเกินไป เนื่องจากส่วนผสมที่มีฤทธิ์ในการขัดสีในยาสีฟันอาจทำให้เลนส์เป็นรอยได้

สุดยอดยาสีฟัน ยาสีฟันกำจัดรอยขีดข่วนบนซีดี

ข้อมูลจาก : classified69


วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ออฟฟิศซินโดรม โรคสุดฮิตมนุษย์ออฟฟิต หรือคนทำงานประจำ

ออฟฟิศซินโดรมมหันตภัยสุขภาพของมนุษย์ออฟฟิต
ออฟฟิศซินโดรม โรคสุดฮิตมนุษย์ออฟฟิต หรือคนทำงานประจำ

มนุษย์ออฟฟิต หรือ คนทำงานประจำ ปัญหาของพนักงานออฟฟิตส่วนใหญ่คงไม่พ้นปัญหาการปวดหัว คอ บ่า ไหล่  บางคนคิดว่าพักสักแปบคงหาย แต่ปรากฎว่ายิ่งนานวัน ปัญหายิ่งเรื้อรัง ทั้งอาการยังคงรุนแรงถึงขั้นยกแขนไม่ขึ้น ขยับคอไม่ได้ไปเลยก็มี!

สัญญาณเตือนข้างต้น คือ อาการโรคยอดฮิตของคนทำงานออฟฟิต ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) พบบ่อยในกลุ่มคนทำงานในสำนักงาน หรือ ทำงานประออฟฟิศ ทำให้ต้องนั่งนานหลายชั่วโมง และไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย พอปล่อยให้นานวันเข้าก็จะส่งผลให้ กล้ามเนื้ออักเสบและมีอาการปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ เช่น ปวดหลัง คอ บ่า ไหล่ แขน หรือข้อมือ

จากการสำรวจพนักงานออฟฟิศ พบว่าส่วนใหญ่ต้องปรึกษาแพทย์ด้วยอาการต่างๆ  นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มคนทำงานอายุระหว่าง 16-24 ปี มีความเสี่ยงสูงถึงร้อย ละ 55 การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ สูงกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบท มีโอกาสสูงถึงร้อยละ 80 คุณ ชรีพรรณ์ เทียมรัตน์ ผู้บริหารสถาบันปรับโครงสร้างร่างกายอริยะ กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มักคิดเพียงแต่ทำให้ภายนอกดูดี แต่หลงลืมเรื่อง โครงสร้างร่างกายภายในหรือท่าเดิน ยืนนั่ง ซึงมีผลโดยตรงต่อโครงสร้างร่างกาย คนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่มีปัญหาออฟฟิศซินโดรม แต่ถ้าเราหันมาใส่ใจเรื่องท่ายืน นั่ง นอน ทำให้โครงสร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล ก็จะไม่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

ไม่ใช่เพียงแค่ขาดการเคลื่อนไหว ออฟฟิศซินโดรมยังหมายรวมไปถึงกลุ่มอาการในเรื่องของระบบทางเดินหายใจและภูมิ แพ้ ผลจากการอยู่ในออฟฟิศที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาด รวมไปถึงสารเคมีจากหมึกของเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องแฟกซ์ และเครื่องพิมพ์เอกสาร ซึ่งวนเวียนอยู่ภายในห้องทำงานอีกด้วย
ออฟฟิศซินโดรม โรคสุดฮิตมนุษย์ออฟฟิต หรือคนทำงานประจำ

 
อาการของออฟฟิศซินโดรมนี้แม้จะมีวิธีการรักษาแต่ก็ทำให้เสียทั้งเงินและเวลา คงดีกว่านี้ถ้าเรารู้วิธีรับมือกับพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้
    กะพริบตาบ่อย ๆ
    ยืดเหยียดกล้ามเนื้อมือและแขนทุก ๆ 1 ชั่วโมง
    พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ทุก ๆ 10 นาที
    เปลี่ยนท่าการทำงานทุก 20 นาที
    นั่งหลังตรงชิดขอบด้านในของเก้าอี้
    วางข้อมือในตำแหน่งตรง ไม่บิด หรืองอข้อมือขึ้นหรือลง

ออฟฟิศซินโดรม โรคสุดฮิตมนุษย์ออฟฟิต หรือคนทำงานประจำ

เราควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอุปกรณ์หลักที่ต้องใช้แล้ว ควรให้ความสำคัญเรื่องออกกำลังกายด้วย โยคะเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพราะสามารถยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้ดี รวมถึงการออกกำลังกายด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของสุขภาพและกล้ามเนื้อ เพียงเท่านี้ออฟฟิศซินโดรมก็ไม่มากล้ำกรายให้วุ่นวายแล้วครับ


ข้อมูลจาก zoneparttime

ข้อดีและข้อเสียจากการยืนทำงาน


ข้อดีและข้อเสียจากการยืนทำงาน
การยืนทำงานสามารถช่วยลดน้ำหนักได้และโรคเบาหวานได้


ศาสตราจารย์วิชาสาธารณสุขศาสตร์นิวซีแลนด์พบในการวิจัยว่า ถ้าหากยืนพิมพ์ดีดและเคลื่อนไหวตอนทำงาน จะสามารถลดน้ำหนักตัวลง และทำให้ห่างไกลโรคเบาหวานออกไปได้

ศาสตราจารย์แกรนท์ โชฟิลก์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีโอ๊กแลนด์ ได้ตั้งกฎขึ้นว่า อย่านั่งหลังจากที่ศึกษาวิจัยพฤติกรรมการนั่งๆ นอนๆ พบว่า หากคนเราเคลื่อนไหวขณะทำงานไม่อยู่นิ่งจะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้มากถึงปีละ 2กก. และยังทำให้มีท่าทางดีขึ้นด้วย

เขาได้ศึกษาขั้นต้นกับพนักงาน 4คน โดยใช้เก้าอี้ปรับเอนได้ และวัดพลังงานที่ใช้เมื่อตอนยืน นั่ง และนอน เมื่อตอนทำงานเทียบกันดูพบว่า หากยืนทำงานจะใช้พลังงานชั่วโมงละ 84กิโลแคลอรี มากกว่าตอนนั่งพิมพ์ดีดถึงร้อยละ 13และมากกว่านอนทำงานร้อยละ 16นอกจากนั้นยังพบด้วยว่า หากยืนทำงานนานพอ ยังจะช่วยเลี่ยงการสร้างเอนไซม์ ซึ่งจะไปแหย่รังแตนของโรคเบาหวานแบบที่ 2ขึ้นอีกด้วย แต่จะยืนทำงานอย่างไรให้ไร้โรค!! ยืน เป็นท่าทางที่ใช้ในชีวิตประจำวันและใช้มากในกลุ่มคนที่ต้องยืนประกอบอาชีพ ยกตัวอย่างเช่น การยืนขายของ การยืนเฝ้ายาม  หรือการยืนทำงานในโรงงาน

จากการสอบถามพนักงานขายสินค้าในห้าง (โดยสถาบันความปลอดภัยในการทำงาน กระทรวงแรงงาน) พบว่าร้อยละ 70 มีอาการปวดบริเวณน่อง ตามด้วยเท้า (ร้อยละ 36) ต้นขา (ร้อยละ 33) หลัง (ร้อยละ 27) และส่วนอื่นๆ เช่น ไหล่ และหลังส่วนบนอีกเล็กน้อย โชคดีที่ พนักงานเหล่านี้เป็นคนหนุ่ม สาว ไม่มีใครมีอาการมากจนต้องเข้ารับการรักษา แต่น่าเป็นห่วงที่มีอาการปวดอยู่หลายแห่ง และยังต้องประกอบอาชีพนี้อีกนานอาจทำให้อาการลุกลามเป็นมากขึ้นและเรื้อรังได้


ผลเสียจากการยืนเป็นเวลานาน

1. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อน่องและต้นขา ขณะยืนกล้ามเนื้อน่องแบกรับน้ำหนักตัวทั้งตัว ปกติแล้วกล้ามเนื้อน่องมีความแข็งแรงมาก เราสามารถยืนขาเดียว หรือเขย่งส้นเท้ายกตัวขึ้นลงได้ แต่กล้ามเนื้อน่องมีจุดอ่อนที่สำคัญ คือเป็นกล้ามเนื้อที่ล้าและปวดเมื่อยได้ง่าย เนื่องจากกล้ามเนื้อน่องมีเลือดมาเลี้ยงน้อย และการไหลกลับของหลอดเลือดดำต้องอาศัยการหดตัวแบบเป็นจังหวะ (มีการหดตัวและคลายตัวสลับกันไป) ถ้าต้องทำงานแบบยืนอยู่นิ่ง กล้ามเนื้อน่องต้องเกร็งตัวตลอดเวลา จะทำให้มีของเสียคั่งค้างมาก เกิดอาการปวดเมื่อยได้ การใส่รองเท้าส้นสูงจะทำให้กล้ามเนื้อน่องทำงานมากขึ้น เนื่องจากรองเท้าส้นสูงมีผลให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายตกไปทางด้านหน้ามากขึ้น กล้ามเนื้อน่องที่อยู่ทางด้านหลังต้องคอยดึงร่างกายไม่ให้ล้มไปข้างหน้า ดังนั้น การใส่ส้นสูงร่วมกับการยืนนานมีผลทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อน่องได้ง่ายยิ่งขึ้น และยังมีผลกระทบต่อข้อเข่าและหลังได้ นอกจากกล้ามเนื้อน่องแล้ว กล้ามเนื้อต้นขาก็อาจมีอาการปวดเมื่อยได้เช่นเดียวกัน หน้าที่หลักของกล้าม เนื้อนี้คือการพยุงหัวเข่าไม่ให้พับลงในขณะยืน ขณะยืนนานกล้ามเนื้อต้นขาต้องเกร็งตัวตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการล้าสะสมของกล้ามเนื้อ และเกิดอาการปวดที่ต้นขาได้

2. อาการปวดเมื่อยเท้า กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่อยู่ในอุ้งเท้าเราต้องทำงานหนัก เพื่อให้เท้าเกาะติดกับพื้นหรือพื้นรองเท้า ถ้ากล้ามเนื้อเท้าต้องทำงานแบบคงค้างอยู่นานๆ จากการยืนนาน จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า เนื่องจากการไหลเวียนเลือดในกล้ามเนื้อไม่ดี มีของเสียคั่งค้างมาก ประกอบกับกล้ามเนื้ออุ้งเท้าเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก จึงทำให้ล้าได้ง่ายกว่ากล้ามเนื้อมัดอื่น อาการปวดเมื่อยของเท้า อาจมาจากสาเหตุที่เนื้อเยื่อบริเวณฝ่าเท้าถูกน้ำหนักตัวกดทับอยู่นาน โดยเฉพาะบริเวณส้นเท้า ตั้งแต่ผิวหนังบริเวณส้นเท้า ชั้นไขมัน และเยื่อรองฝ่าเท้า อาการปวดที่พบได้บ่อยคือ ฝ่าเท้าอักเสบหรือรองช้ำ มักพบในอาชีพที่ต้องยืนนาน เช่น พนักงานขายของ ครู พยาบาล หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน อาการที่พบได้บ่อยคือ จะเจ็บมากขณะเท้าเหยียบพื้นเมื่อตื่นนอนตอนเช้า หลังจากก้าวได้ 2-3ก้าวอาการจะลดลง

3. หลอดเลือดขอด พบได้บ่อยในอาชีพที่ต้องยืนทำงานนานๆ หญิงตั้งครรภ์ และคนอ้วน สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดหลอดเลือดขอดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยเสริมให้เกิดหลอดเลือดขอดคือการยืนนาน และการกดทับของหลอดเลือดดำใหญ่บริเวณต้นขา เช่น จากความอ้วน หรือการตั้งครรภ์ เมื่อยืนนานเลือดดำจากบริเวณเท้าและน่องจะไหลกลับได้ลำบากเพราะแรงโน้มถ่วง จะดึงเลือดลงสู่เท้า ในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเหมือนเป็นประตูเปิดทางเดียวกั้นมิให้เลือดไหลกลับสู่ เท้า การขยับขาและน่องเป็นบางครั้งจะทำให้เกิดแรงกดบริเวณรอบหลอดเลือดดำช่วยปั๊ม เลือดกลับได้อีกแรงหนึ่ง แต่ถ้าเรายืนนิ่งไม่ขยับหรือขยับน้อยมาก เลือดจะไปท้นอยู่บริเวณลิ้นที่กล่าวมา เนื่องจากผนังหลอดเลือดดำนั้นจะบางมาก ทำให้แรงดันที่เกิดจากเลือดที่ไปท้นอยู่บริเวณลิ้นหลอดเลือดดำดันผนังให้ โป่งออก กรณีเป็นน้อยๆ อาจมองเห็นคล้ายใยแมงมุม เมื่อเป็นมากขึ้นจะเห็นหลอดเลือดโป่งชัดเจน หลอดเลือดขอดถ้าเป็นน้อยอาจดูไม่สวยงาม มีอาการปวดน่องและอาจเป็นตะคริวได้ในเวลากลางคืน แต่กรณีที่เป็นมากจะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นเปลี่ยนไป ผิวหนังเป็นมันและตึง และอาจมีอาการบวมของเท้าได้ง่าย ถ้าเป็นแผลบริเวณนั้นจะรักษาหายยาก

4. ปวดเข่าและหลัง การยืนปกติทำให้เกิดแรงกดที่หัวเข่า เพราะน้ำหนักตัวจะผ่านลงไปที่เข่า และขณะยืนกล้ามเนื้อหน้าขาและด้านหลังขา (ใต้ขาอ่อน) จะต้องทำงานประสานกันเพื่อมิให้เข่าพับลงกล้ามเนื้อน่องและกล้ามเนื้อบริเวณ หน้าแข้ง และมิให้ตัวล้มไปข้างหน้า การยืนนานจะทำให้กล้ามเนื้อทั้ง 2 กลุ่มเกิดอาการเมื่อยล้าได้ เมื่อเมื่อยล้าร่างกายจะพยายามทำการล็อกหัวเข่า โดยการเหยียดเข่าให้ตรงเพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานลดลง การทำเช่นนี้มีผลทำให้เข่าแอ่น มีแรงกดที่ผิดปกติที่หัวเข่า ทำให้ปวดบริเวณหัวเข่าได้ง่าย และการยืนในลักษณะนี้จะมีผลทำให้หลังแอ่นมากขึ้น มีผลทำให้ปวดเมื่อยหลังได้เช่นเดียวกัน

จะป้องกันผลเสียจากการยืนนานได้อย่างไร?
         คำตอบที่ง่ายที่สุดและตรงไปตรงมา คือ อย่ายืนนาน แต่อย่างไรก็ตามการนำไปปฏิบัติจริงนั้นอาจทำได้ยากถ้าต้องประกอบอาชีพที่ ต้องยืนทำงาน มีข้อแนะนำหลายอย่างที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ดังนี้

1. ยืนบนพื้นนิ่ม พื้นที่นิ่มลดแรงกดที่เท้าได้ อาจใช้พรมเช็ดเท้านิ่มๆ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อพรมสำหรับยืนที่มีราคาแพง สามารถทดสอบพรมได้ด้วยการถอดรองเท้ายืนบนพรมนั้น หลังจากนั้นลองยืนเท้าเดียว ถ้ารู้สึกว่าสบายเท้าและยืนได้มั่นคงถือว่าใช้ได้

2. ใส่รองเท้าที่มีพื้นนิ่มและหลวมเล็กน้อย รองเท้าที่มีพื้นนิ่มช่วยลดแรงกดไปที่เท้าได้เช่นเดียวกับพื้นที่นิ่ม ส่วนการที่ต้องเลือกรองเท้าหลวมเพราะตกเย็นเท้าของท่านอาจบวมได้เล็กน้อยจากการยืนนาน

3. ไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงในการทำงาน ในกรณีที่เจ็บส้นเท้ามาก อาจใส่รองเท้าส้นสูงได้แต่ไม่เกิน 2 นิ้ว เพื่อช่วยลดแรงกดที่ส้นเท้า

4. ยืนเท้าโต๊ะ ให้ยืนเท้าโต๊ะสูงหรือตู้ขายสินค้าโดยใช้แขนหรือศอกรับน้ำหนักตัวทางด้านหน้า สลับกับการใช้ก้นหรือหลังพิงผนังเป็นครั้งคราว เพื่อลดน้ำหนักกดที่กระทำต่อหลังและเท้า

5. พักการยืนบ่อยๆ หย่อนขาข้างหนึ่ง หรืออาจใช้ที่วางเท้าเป็นบล็อกสูงจากพื้นประมาณ 4-6 นิ้ว

6. ใช้เก้าอี้แบบกึ่งนั่งกึ่งยืน ในกรณีของพนักงานเคาน์เตอร์หรือการทำงานในโรงงาน

7. ให้ยืนสลับนั่ง ถ้างานที่ทำสามารถทำได้ทั้งในขณะยืนและนั่ง ให้ยืนสลับนั่ง แต่ต้องจัดสภาพงานให้เหมาะสม เช่น โต๊ะยืนทำงานไม่ควรเตี้ยเกินไป จนต้องก้มหลัง อาจจัดโต๊ะให้ทำงาน 2 ชุด คือ ชุดยืนและนั่งทำงาน แล้วให้ทำงานสลับหน้าที่กันเป็นระยะๆ

8. เมื่อรู้สึกเมื่อย ให้เดินไปมาสัก 2-3 นาที จึงค่อยนั่งลง ยกขาทั้ง 2 ข้างพาดบนที่นั่งของเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง ให้เท้าอยู่สูงประมาณระดับเข่า เพื่อช่วยเลือดจากขากลับเข้าสู่หัวใจดีขึ้น ป้องกันหลอดเลือดขอด มีโอกาสพักอย่ายืนคุยให้นั่งยกขาพาดเก้าอี้ อาจจะกระดก ปลายเท้าสลับกันซ้าย ขวาร่วมด้วย

9. ยันเท้ากับกำแพง กลับถึงบ้านให้นอนเอาเท้ายันกับกำแพงให้เท้าอยู่สูงจากพื้นประมาณครึ่งเมตร แล้วกระดกปลาย เท้าขึ้นสลับกันทั้ง 2 ข้าง ทำประมาณ 10 นาที ออกกำลังด้วยการเดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ เป็นเวลา 15-20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงขา พักผ่อนด้วยการนอนให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง สำหรับการออกกำลังกายเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องยืนทำงานนานๆ

(ขอขอบคุณฝ่ายการยศาสตร์ สถาบันความปลอดภัยในการทำงาน กระทรวงแรงงาน ที่ได้กรุณาเอื้อเฟื้อข้อมูลที่เป็นประโยชน์)