วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

เตะปี๊บไม่ดัง อสุจิไม่แข็งแรง มะเขือเทศช่วยได้

เตะปี๊บไม่ดัง อสุจิไม่แข็งแรง มะเขือเทศช่วยได้
น่าสนใจที่สุดโดยอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยจากอังกฤษ
พบว่าสารที่อยู่ในมะเขือเทศสามารถช่วยให้มีบุตรง่ายขึ้น
หลายคนทราบกันเป็นอย่างดีว่า ผักและผลไม้ถือเป็นสุดยอดอาหารสุขภาพ ซึ่งถือเป็นความได้เปรียบของคนไทยด้วย เพราะประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผัก และผลไม้หลายชนิดด้วยกัน
            โดยในบรรดาผักและผลไม้ที่อยู่ในประเทศไทย หลายคนอาจรู้จักและเคยบริโภค และเข้าใจถึงคุณประโยชน์ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่แค่บริโภคแต่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์มากน้อยเพียงใด อย่างผักที่ผลกลมๆ สีแดง หรือเหลืองส้มอมแดง ที่รู้จักกันในนามว่า “ มะเขือเทศ ” ซึ่งคนไทยรู้จักและนิยมบริโภคกันมานาน แท้จริงแล้วมีประโยชน์อย่างมหาสาร ที่น่าสนใจที่สุดโดยอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยจากอังกฤษ พบว่า “สารที่อยู่ในมะขือเทศสามารถช่วยให้มีบุตรง่ายขึ้น
            สำหรับงานวิจัยที่กล่าวถึงนี้เป็นของนักวิจัยวิมยาลัยพอร์ตสมัธของอังกฤษ ได้พบในการศึกษาคุณค่าของ ไลโคปีน ในอาหารกับชายฉกรรจ์ ที่มีอายุเฉลี่ย 42 ปี 6 คนที่ถูกให้กินซุปมะเขือเทศปริมาณวันละ 400 กรัม เป็นเวลา 2 อาทิตย์ ระหว่างที่กินซุปมะเขือเทศอยู่นี้ น้ำอสุจิของกลุ่มตัวอย่าง มีระดับไลคีนเพิ่มขึ้นจาก 7 ถึง 12% พร้อมทั้งจะช่วยบำรุงตัวเชื้ออสุจิให้แข็งแรงด้วย โดยการศึกษาส่อว่าการมรระดับไลโคปีนสูงขึ้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้มีบุตรง่าย
นอกจากช่วยให้มีบุตรง่ายขึ้นหรือการช่วยให้อสุจิมีความแข็งแรง แล้วมีข้อมูลอีกว่าสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในมะเขือเทศ คือ ไลโคปีน ที่มีคุณสมบัติสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หากทานมะเขือเทศ 10 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45%
โดยเทคนิคในการทานมะเขือเทศควรจะทานแบบสุกๆ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
ส่วนประโยชน์อื่นของมะเขือเทศยังมีอีกหลายอบ่างด้วยกัน เช่น
            มะเขือเทศยังมีเบต้าแคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก ที่มะเขือเทศมีรสชาติอร่อยนั้นเพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อ กลูต้ามิค สูง กรดอะมิโนนี้เองเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ทั้งยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย
            มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมี citrin ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
            มะเขือเทศมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง
            มะเขือเทศมีวิตามินเอ จึงสามารถรักษาโรคตาได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรกษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย
            รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึงโดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบางๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าได้อ่อนนุ่ม
            มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปาก ที่เกิดจากเชื้อราได้
    เห็นไหมครับว่ามะเขือเทศมีประโยชน์มากมายแค่ไหน โดยเฉพาะท่านชายทั้งหลาย ไม่ควรละเลยที่จะทานมะเขือเทศทุกวัน และลองดูว่าเสียงปี๊บที่ท่านเตะจะดังขึ้นแค่ไหน


วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

ไตวาย ไตพิการ เพราะการดื่มน้ำไม่เพียงพอ


ดื่มน้ำอย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
                "หากให้เลือกระหว่างอดน้ำกับอดอาหารหลายคนอาจจะเลือกไม่ถูกเพราะทราบดีว่าทั้งน้ำและอาหาร คือ ปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต แต่โดยหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ชีวิตคนปกติสามารถอดอาหารได้นานเกือบเดือน แต่หากขาดน้ำประมาณ 3-7 วันชีวิตนั้นมีอันต้องดับสูญอย่างแน่นอน"
               
                เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะน้ำถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของอวัยวะต่างๆ ทั้งเลือด กล้ามเนื้อ รวมไปถึงอวัยวะที่แข็ง เช่น เล็บ ฟัน กระดูก ซึ่งโดยภาพรวมแล้วในส่วนประกอบทั้งหมดของร่างกายมีน้ำเป็นองค์ประกอบ 3 ใน 4 หรือคิดเป็น 85 % ของร่างกายเลยทีเดียว
                ถึงตรงนี้คงะเห็นแล้วว่า น้ำมีความสำคัญเพียงใด หรือเหตุใดร่างกายมนุษย์จึงขาดน้ำนานไม่ได้ เพราะนอกจากน้ำจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกายแล้ว หากมองในด้านสุขภาพการที่เราดื่มน้ำเข้าไปในร่างกาย น้ำยังไปช่วยในการชะล้างสิ่งสกปรกต่างๆ รวมไปถึงการเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณ ในหลักวิชาการเกี่ยวกับความสวยความงามจึงมีการกล่าวถึงอยู่เสมอว่าหากมีการดื่มน้ำที่พอเพียงกับความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องสำอางเพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นนั้นน้อยมาก ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ร่างกายของคนปกติจะต้อการน้ำวันละ 4,000 ซีซี หรือ 4 ลิตร เป็นอย่างน้อย
                หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอจะเกิดอะไรขึ้น?
เรามาดูกันว่า เมื่อร่างกายมนุษย์ได้รับปริมาณน้ำที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
1.หัวใจทำงานหนัก และมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เหตุเพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำเลือดจะข้นขึ้น ซึ่งจะทำให้การไหลเวียนของเลือดลำบาก ผลกระทบต่อไปคือ หัวใจต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้น อันจะส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ และผลที่จะเห็นได้จากภายนอก คืออาการหน้ามืด อันเกิดจากเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงสมองไม่พอเพียง
2.สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต ไม่ว่าจะเป็นไตวาย ไตพิการ ให้ลองสังเกตดูที่ปัสสาวะ หากวันไหนที่เรารู้สึกได้ว่า ภายใน 1 วันเราทานน้ำน้อยเกินไปปัสสาวะจะมีสีเหลืองเข้ม ภาวะเช่นนี้ส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักกว่าปกติ และหากร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่ไตจะมีปัญหาก็มีสูงขึ้น
3.ท้องผูก ถ่ายอุจจาระไม่สะดวก
4.ผิวหนังหยาบ ไม่สดชื่นหรือสดใส ริมฝีปากแห้ง รวมไปถึงนัยน์ตาแห้ง อันเกิดจากการขาดน้ำไปหล่อเลี้ยง
ดื่มน้ำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อย่างที่กล่าวไปเบื้องต้นว่า ร่างกายของคนปกติจะต้องการน้ำวันละ 4,000 ซีซี หรือ 4 ลิตร เป็นอย่างน้อย แต่การจะดื่มน้ำเพื่อให้เพียวพอกับความต้องการของร่างกายเพียงครั้งเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ภายใน 1 วัน จึงควรแบ่งการดื่มน้ำดังต่อไปนี้
ตอนเช้า อย่างน้อย 1 แก้ว (400 ซีซี)
ตอนสาย อย่างน้อย 2 แก้ว
ตอนบ่าย อย่างน้อย 3 แก้ว
ตอนเย็น อย่างน้อย 3 แก้ว
ก่อนเข้านอน ควรดื่ม 1 แก้ว
โดยการดื่มน้ำก่อนเข้านอนนั้น จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย กล่าวคือ ขณะนอนร่างกายจะพักผ่อนอย่างเต็มที่ น้ำที่ดื่มไปจะไปชำระของเสียในร่างกาย และจะถูกขับออกมา ทั้งการปัสสาวะและอุจจาระ นอกจากนี้แล้วการดื่มน้ำอุ่นก่อนนอน จะส่งผลให้หลับสบายได้อีกด้วย
หลักปฏิบัติ/พฤติกรรมในการดื่มน้ำ
-ไม่ควรทานอาหารพร้อมกับการดื่มน้ำสลับกัน
รวมไปถึงไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไปทั้งก่อนและหลังทานอาหารในแต่ละมื้อ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง อันจะส่งผลให้กระบวนการย่อยอาหารที่รับประทานไปไม่เป็นปกติ
                -การดื่มน้ำบ่อยๆ อาจส่งผลให้เกิดการปัสสาวะบ่อย โดยปัสสาวะครั้งแรกอาจมีสีเหลืองเข้มและมีกลิ่นแรงถือเป็นสิ่งปกติ ซึ่งจะพบเจอในช่วงเช้า
                -การดื่มน้ำ ไม่จำเป็นต้องเร่งดื่มตามปริมาณที่ร่างกายต้องการเพียงแค่ครั้งเดียว  ให้ดื่มตามความสะดวก

ที่กล่าวมาทั้งหมดลองนำไปปฏิบัติดู แล้วจะพบว่า เมื่อรับประทานน้ำได้ตามปริมาณความต้องการของร่างแล้วจะเกิดประโยชน์เพียงใค

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

ถาม-ตอบ ปัญหาสุขภาพ

ถาม-ตอบ ปัญหาสุขภาพ

   สวัสดีครับ พบกันฉบับนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวก็อยากให้ระมัดระวังในเรื่องของสุขภาพและพลานามัยให้ดี ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงอยู่เย็นเป็นสุขเช่นนี้ตลอดไปนะครับ

 
   Q.น้ำมันปลา มีประโยชน์ ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ?
   A.มีการศึกษาค้นคว้า มากมาย กล่าวถึง คุณค่าของน้ำมันปลา ในการป้องกันหัวใจ และหลอดเลือด ลดอาการปวด การอักเสบและการบวม และยังทำหน้าที่ป้องกัน เยื่อหุ้มเซลล์ โดยที่  
   @ น้ำมันมีคุณค่าของกรดไขมัน กลุ่มโอเมก้า 3 ที่มีกรดไขมันไอโคซาเพน ตาอิโนอิก (EPA)และกรดไดโคซาเฮกซาอิโนอิก (Docasahexaenoic acid : DHA)  
   @ EPA มีคุณสมบัติ ช่วยไม่ให้เลือดหนืดข้น เกิดการไหลเวียนได้อย่างคล่องตัว ยับยั้งการอักเสบ ช่วยป้องกันไม่ให้โคเลสเตอรอลสะสม อุดตันหลอดเลือด ป้องกันโรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต   - ป้องกันและลดอาการข้ออักเสบและปวดข้อ
   - ป้องกันและลดอาการโรคปวดศรีษะไมเกรน
   - ป้องกันและยับยั้งการก่อตัวของมะเร็งร้าย ต่างๆ
   - ปรับสมดุลของความดันโลหิต
  
   @ DHA เป็นกรดไขมันที่จำเป็นในการสร้างเซลล์ประสาท ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของปลายประสาท ทำให้การถ่ายทอดสัญญาณผ่าน ข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกันดีขึ้น จึงเกิดความจำและการเรียนรู้ได้อย่างดี ดังนี้
   - ในเด็ก DHA จะช่วยให้เด็กความจำดี เฉลียวฉลาด เรียนรู้ ได้อย่างรอดเร็ว
   - ในผู้ใหญ่จะช่วยบำรุงสมอง ทำให้ความจำดีขึ้น ป้องกันและลดอาการของโรคซึมเศร้า
   - ในคนชราช่วยป้องกัน โรคความจำเสื่อมและโรคสมองฝ่อ ป้องกันและลดอาการของโรคซึมเศร้า   Q.กลูตาไธโอน คืออะไร มีอะไรที่กระตุ้นการสร้างกลูตาไธโอน ได้ ?
   A.กลูตาไธโอนเป็นสารสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิต้านทาน และขจัดสารพิษ สร้างขึ้นภายใน เซลล์ทุกเซลล์โดยมีมากที่ตับ ในการกระตุ้นการสร้างกลูตาไธโอน ร่างกายต้องได้รับ เวย์โปรตีนเข้มข้น อย่างต่อเนื่องในปริมาณไม่ต่ำกว่าวันละ 18 กรัม

บทบาทของกลูตาไธโอน
   1.ต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุด ร่างกายสร้างขึ้นเอง สามารถขจัดอนุมูลอิสระได้อย่างกว้างขวาง และยังเสริมประสิทธิภาพ ของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามิน C ,วิตามิน E, เซเลเนียม เป็นต้น   2.กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน (Immune booster) โดยกระตุ้นการสร้าง เม็ดเลือดขาว และเพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดเชื้อโรคและทำลายสิ่งแปลกปลอมของเม็ดเลือดขาว   3.ขจัดสารพิษ (Detoxifier) สารพัด สารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าสู่ระบบไหลเวียน โลหิตและผ่านไปที่ตับ ตับจะสร้างกลูตาไธโอนจำนวนมาก เพื่อทำหน้าที่ขจัดสารพิษทำลาย ดังนั้นหากปริมาณ กลูตาไอโอน ลดลงปริมาณสารพิษที่ไหลเวียน ในร่างกาย จะเพิ่มขึ้นจนไปทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย
  
   Q.โคเอ็นไซม์ คิว เท็น มีบทบาทสำคัญอย่างไรบ้าง ?   
   A.โคเอ็นไซม์ คิว เท็น เป็นสารคล้ายวิตามินทำหน้าที่เป็น โค เอ็นไซม์ ร่างกายจะสร้างได้น้อยลงหลังอายุ 20 ปี  
  
   โคเอ็นไซม์ คิว เท็น เป็นสารสำคัญในการผลิตพลังงานของเซลล์ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ เสริมสร้างการทำงานของหัวใจและช่วยลดความเมื่อยล้า ช่วยยับยั้งการจับตัวของโคเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ ช่วยให้เหงือกแข็งแรง ลดอาการอักเสบของเหงือกหรือ เหงือกบวม   โคเอ็นไซม์ คิวเท็น มีประสิทธิภาพสูงในการลดริ้วรอย ชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และเป็นการต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานเสริมฤทธิ์กับวิตามิน อี ในการป้องกันโรคมะเร็ง  
   ขนาดที่แนะนำ ให้ทาน คือ 30 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้ามีภาวะปัญหาสุขภาพ ควรรับประทานเพิ่มขึ้น ในปริมาณ 50 100 มิลลิกรัมต่อวัน

เปิดหน้าต่างสุขภาพ

   ภูมิใจค่ะที่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์ ในคอลัมส์เปิดหน้าต่างสุขภาพกับ Deep Marin Whey ดิฉันเป็นอีกหนึ่งคนที่มีปัญหาสุขภาพกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นหลังคลอดบุตร ขณะนั้นมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 78 กิโลกรัม ก่อนตั้งครรภ์ ดิฉันมีน้ำหนักตัว เพียงแค่ 54 กิโลกรัม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 24 กิโลกรัม ทำให้ดิฉันรู้สึกอึดอัด ในการแต่งกาย ไม่มั่นใจในตัวเอง มีอาการปวดเข่า และเมื้อล้าง่าย หลังจากคลอดบุตร ผ่านไป 6 เดือน ดิฉันจึงตัดสินใจ เข้าโปรแกรม DMW เริ่มทาน วันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ขณะนั้นน้ำหนักตัวอยู่ที่ 77 กิโลกรัม ผ่านไป 4 สัปดาห์ น้ำหนักตัวอยู่ที่ 64 กิโลกรัม 8 สัปดาห์ ลดลงเหลือ 55 กิโลกรัม เพียงแค่ 2 เดือน น้ำหนักลดลงถึง 22 กิโลกรัม ซึ่งส่วนสูงของดิฉันแค่ 167 ซม.    น้ำหนักตัวของดิฉันลดลงด้วย ผลิตภัณฑ์ DMW อย่างเหลือเชื้อ ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีรูปร่างที่ดี และผิวพรรณสวยขนาดนี้ ปัจจุบันน้ำหนักตัวของดิฉัน ก็ยังคงอยู่ที่ 55 กิโลกรัม

วิธีทาน Deep Marine Whey
  

เปิดหน้าต่างสุขภาพ

   สวัสดีครับสำหรับเปิดหน้าต่างสุขภาพฉบับนี้ เราได้รับเกียรติจากสมาชิกศูนย์ชลบุรี มาแบ่งปันประสบการณ์ในการใช้ผลิตภัณฑ์ DMW และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาทำความรู้จักกันเลยค่ะ
  
   สวัสดีค่ะ นักธุรกิจสุพรีเดอร์มทุกท่าน ดิฉัน ธงทอง เอื้อเฟื้อ ตำแหน่งผู้บริหารการขายระดับมงกุฎเพชร ในสายงาน มงกุฎนพรัตน์ สมบูรณ์ มณีโชติ
   08.00 น. โกโก้ 1 ซอง + แคล - ดี พลัส 1 เม็ด + มาสเตอร์ออย 1000 1 แคปซูล + เอ็มแอนด์ วี มิกซ์ พลัส 1 แคปซูล + ไบโอ โฟลิค 1 แคปซูล  
   10.00 น. แคล วี มารี คิว เท็น 1 ซอง + แม็คคาเดเมีย   
   12.00 น. โกโก้ 1 ซอง
   15.00 น. โยเกิร์ต 1 ซอง + แคล วี มารีนคิว 10 1 ซอง
  

   17.00 น. วานิลลา 1 ซอง   
   20.00 น. โกโก้ 1 ซอง  
  
   โปรแกรม DMW เป็นเครื่องมือลดน้ำหนักที่ตรงใจ ครบคุณค่า สะดวก อร่อย อิ่มนาน สุขภาพดี ทำให้มีความสุขกับการลดน้ำหนัก น้ำหนักตัวลดลงเร็วกว่าที่คิด ดิฉันพิสูจน์มาแล้ว สมาชิกท่านใดที่ยังไม่เข้าโปรแกรม DMW ต้องรีบตัดสินใจแล้วนะค่ะ  
   ต้องขอขอบคุณ คุณหมอมั่น อึดมพาณิชย์ ที่มีผลิตภัณฑ์ ดีๆ อย่างนี้ ให้คนไทยรับประทาน รวมทั้งผู้จัดการศูนย์ชลบุรี เจ้าหน้าที่ศูนย์ทุกท่านและนพรัตน์ทุกท่าน ที่คอยให้วิธีการและแนะแนวทางในการทำธุรกิจ DMW ขอบคุณทุกท่าน"



คุณประโยชน์และโทษของน้ำมันมะพร้าว


น้ำมันมะพร้าว ราชาแห่งโภชนาการ

มะพร้าวเป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่คนไทยรู้จักกันมานาน ด้วยเพราะแทบทุกส่วนของมะพร้าว ไม่ว่าจะเป็นต้น ใบและผล สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน  โดยเฉพาะในส่วนของผลนั้น ถือว่ามีบทบาทที่สำคัญต่อวิถีการบริโภคของคนไทยมานาน ไม่ว่าจะเป็นการกินเนื้ออ่อน หรือเนื้อที่แก่ก็จะมีการคั้นน้ำ ที่เรียกกันว่าน้ำกะทิ เพื่อนำไปทำอาหารทั้งคาวและหวาน หรือแม้แต่การนำน้ำกะทิไปสกัดเป็นน้ำมัน  ที่เรียกกันว่า “น้ำมันมะพร้าว” เพื่อนำไปใช้ในการทอดอาหาร

จากการที่กระแสการหันมาใส่ใจสุขภาพทำให้ปัจจุบันนี้มีน้ำมันมะพร้าว ซึ่งมีการศึกษาและวิจัยกันอย่างจริงจังพบว่า มีผลต่อสุขภาพคนอย่างดีเยี่ยมในหลายมิติด้วยกัน ทำให้ปัจจุบันนี้น้ำมันมะพร้าวถูกนำมาใช้ประโยชน์ เป็นต้นว่าการดูแลผิวพรรณ การลดความอ้วน การนวด อาหารเสริม ฯลฯ

ข้อมูลจากชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย ระบุไว้ว่าน้ำมันมะพร้าวที่ผ่านการสกัดเย็น  คือน้ำมันที่ได้โยไม่ผ่านกระบวนการความร้อน (Cold Press Coconut Oil) ผลิตจากเนื้อมะพร้าวสดเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์สีใสเหมือนน้ำ มีวิตามิน E และไม่ผ่านกระบวนการเติมออกซิเจน (Oxidation) และที่สำคัญ “กรดลอริก” ในน้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริก อยู่ประมาณ 54.61% กรดนี้มีส่วนที่ทำให้น้ำมันมะพร้าว ดี เด่น กว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เพราะมันมีความสามารถพิเศษคือ สร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อเราบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในร่างกาย กรดลอริก จะเปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอไรด์ ที่มีชื่อว่า โมโนลอริน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดา ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในระยะ 6 เดือนแรก ที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้เด็กระยะแรกเกิด ไม่ค่อยเป็นโรคอะไร โมโนลอริน เป็นสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคทุกชนิด ดีกว่ายาปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา  ยีสต์ โปรโตซัว และไวรัส รทั้งเชื้อที่ก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว

สำหรับการสกัดเย็นนั้นหากต้องการสกัดไว้ที่ปริมาณไม่มากนัก็สามารทำได้โดยง่าย ดังมีวิธีการดังต่อไปนี้
1.คั้นกะทิ โดยใส่น้ำเล็กน้อย
2.นำกะทิใส่ถุงพลาสติก นำเข้าตู้เย็นใส่นช่องธรรมดาเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
3.เมื่อนำออกจากตู้เย็นจะพบว่า กะทิจะมีการแยกชั้น เป็น 2 ชั้น ชั้นบนจะเป็นครีมกะทิ ชั้นล่างเป็นน้ำเปรี้ยว ให้ทำการเจาะถุงเอาน้ำเปรี้ยวออก แล้วมัดรูที่เจาะไว้ด้วยยางรัดของ จากนั้นนำเข้าตู้เย็นในช่องแช่แข็ง แช่ไว้ 36 ชั่วโมง จนแข็งดี
4.นำออกมาตั้งพักไว้ข้างนอกรอจนกระทั่งกะทิที่แข็งตัวค่อยๆ ละลายและจะแยกชั้น จนเห็นชัดเจน 3 ชั้น
- ชั้นบนสุดเป็นครีม
- ชั้นกลางเป็นน้ำมันมะพร้าว
- ส่วนชั้นล่างเป็นน้ำเปรี้ยว
5.ตักเอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำมันมะพร้าวไปใช้ประโยชน์


คุณประโยชน์และโทษของน้ำมันมะพร้าว

                จริงๆ แล้วในน้ำมันมะพร้าวมีสารอาหารเยอะมากแต่สารอาหารที่สำคัญที่สุด คือ "กรดลอริค" ซึ่งจะพบเจอหรือมีอยู่มากในน้ำนมแม่ ถามว่าประโยชน์ของกรดลอริค คืออะไร เชื่อว่าทุกคนทราบเป็นอย่างดี จึงมีการรณรงค์ให้ทารกดื่มนมแม่ นอกจากนี้แล้วในน้ำมันมะพร้าวมีฤทธ์เป็นกรดจึงมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็นยังมีส่วนประกอบของวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุให้เซลล์เสื่อมสภาพก่อนวัยอีกด้วย


            ในหลักการทำงานบนั้นน้ำมันมะพร้าวไปฆ่าโดยตรงไม่ได้ ต้องมองในคุณสมบัติการทำงานสมมุติว่าแบคทีเรียก้อนกลมๆ และมีเกราะไขมันหุ้มตัวเองให้นึกถึงจานใส่อาหารที่เลอะไปด้วยไขมันหากทำการล้างโดยน้ำ ปกติไขมันจะไม่ออก แถมเลอะไปทั่วทั้งจาน แต่ถ้าใช้น้ำยาล้างจานจะสะอาด เป็นหลักการของการเอาไขมันไปละลายไขมัน เช่นเดียวกันกับน้ำมันมะพร้าว มันจะไปเคลือบแบคทีเรีย ไม่ให้สามารถไปทำงานได้ จากตรงนี้จึงมีการเอาน้ำมันมะพร้าวไปทำ "ออยล์พูลลิ่ง" ซึ่งเป็นตำรับของอินเดีย นั่นคือใช้น้ำมันมะพร้าวแทนน้ำยาบ้วนปากผลที่ได้คือ การกำจัดเชื้อแบคทีเรียในปาก

            โดยหลักการก็คือ น้ำมันมะพร้าวจะไปจับเชื้อแบคทีเรียในปาก โดยพบว่า น้ำมันมะพร้าวที่บ้วนออกจากปากนั้นมีเชื้อแบคทีเรียจำนวนเยอะมาก แต่วิธีการบ้วนปากด้วยน้ำมันมะพร้าวให้ได้ประโยชน์มากที่สุด จะต้องใช้เลาประมาณ 15 นาที ซึ่งถือว่านานพอสมควร สำหรับเวลาช่วงเช้าในกลุ่มคนที่ต้องเร่งรีบออกไปทำงาน ตรงนี้มีแนวทางอยู่ว่า หลังจากตื่นนอนก่อนที่จะเข้าไแทำภารกิจส่วนตัวในห้องน้ำให้เริ่มอมน้ำมันพะพร้าวก่อนแล้วจึงทำภารกิจส่วนตัว และหลังจากเสร็จ ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 20 นาที ก็บ้วนน้ำมันมะพร้าวทิ้ง

แข็งแรงสดใสจากภายในสู่ภายนอก

            ผู้ที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวจะมีสุขภาพแข็งแร็งเพราะได้พลังงานทันทีที่บริโภคน้ำมันมะพร้าว นอกจากนั้นน้ำมันมะพร้าวยังช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารด้วย โดยการเพิ่มการดูดวิตามิน เกลือเเร่ และกรดอะมิโน เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นโมเลกุลขนาดเล็กจึงถูกย่อยง่ายและเคลื่อนที่ไปตามของเหลวในร่างกาย จึงเป็นที่นิยมและเหมาะสม ในการนำไปหุงต้มอาหารสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาการย่อยไขมันและยังใช้ในสูตรน้ำนมเพื่อให้ไขมันที่จำเป็นแก่เด็กทารก และช่วยในการดูดซึมแคลเซียม แมกนีเซียม ซึ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนากระดูก

ประโยชน์ในการบำรุงผิว
            ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าออกซิเจนช่วยให้คนเรามีชีวิต ช่วยให้คนดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ในมุมกลับกันออกซิเจนก็ส่งผลให้เซลล์หรืออวัยวะของคนเสื่อมสภาพลงด้วย อย่างผิวคนที่พบว่ามีการแห้ง ลอกเสื่อมสภาพ ส่วนหนึ่งเกิดจากออกซิเจน น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันอิ่มตัว ซึ่งจะป้องกันการเติมออกซิเจนในระดับของเซลล์ เมื่อทาผิวด้วยน้ำมันมะพร้าว จึงส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพช้าลง รวมไปถึงการช่วยบำรุงผิวด้วยเพราะในน้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอีอยู่ด้วย

ช่วยในการลดความอ้วน จะมีอยู่ 3 ประเด็นที่ช่วยให้น้ำหนักลดลง
            1.น้ำมันมะพร้าวช่วยในการเผาผลาญด้วย เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่มีโมเลกุลสายขนาดปานกลาง คำว่ามีโมเลกุลสายขนาดปานกลางเวลาที่คนทานลงไปสามารถที่จะเคลื่อนที่ได้เร็วภายใน 24 ชั่วโมง ร่างกายสามารถที่จะกำจัดออกไปได้หมด แตกต่างจากน้ำมันที่มีโมเลกุลสายยาวที่ร่างกายกำจัดออกได้ช้า และที่สำคัญทำให้เกิดการสะสมภายในร่างกาย
            จากตรงนี้น้ำมันมะพร้าวมีผลต่อการลดน้ำหนักอย่างไร กล่าวคือน้ำมันมะพร้าวจะลากน้ำมันสายยาว หรือไขมันสะสมเอาไปเผาผลาญในตัว ทำให้ร่างกายไม่มีไขมันสะสม หรือไม่มีคอเลสเตอรอลสะสมในร่างกาย จึงส่งผลให้ร่างกายมีน้ำหนักลดลง
            2.ร่างกายคนเรามีกระบวนการขับถ่ายถ้าเราทานอาหารเข้าไป 10 ส่วน หากถ่ายออกมา 5 ส่วน แสดงว่าต้องเหลือในร่างกายอีก 5 ส่วน ร่างกายอาจจะเผาผลาญไปได้ 3 ส่วน เท่ากับว่าเหลือตกค้างอีก 2 ส่วน แต่หากท่านทานน้ำมันมะพร้าวไป จากอาหารที่ทานไป 10 ส่วน การเผาผลาญจะเพิ่มขึ้นรวมไปถึงการช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกายเท่ากับว่าสิ่งที่ตกค้างในร่างกายน้อยมาก

            อย่างไรก็ดีเมื่อน้ำมันมะพร้าวช่วยในการขับถ่ายคนที่ทานน้ำมันมะพร้าวไป ช่วงแรกอาจเจออาการท้องเสียถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากในระยะต่อมาท้องยังเสียอีกต้องหยุดทานเหตุเพราะร่างกายอาจไม่เหมาะสมกับการทานน้ำมันมะพร้าว ซึ่งตรงนี้ร่างกายคนไม่เหมือนกัน อย่างที่มีคำกล่าวกันว่า คนธาตุหนัก คนธาตุเบา ซึ่งคนธาตุเบาจะท้องเสียง่าย
            3.การทานน้ำมันมะพร้าวจะส่งผลให้ความอยากอาหารน้อยลง เมื่ออยากน้อย ก็กินน้อย เมื่อกินน้อย อาหารหรือส่วนเกินที่จะตกค้างใรร่างกายก็จะน้อยลง รวมไปถึงคุณสมบัติที่ช่วยในการเผาผลาญ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ช่วยในการลดน้ำหนักหรือช่วยในการลดความอ้วน

ผลเสีย
            ในขณะที่น้ำมันมะพร้าวให้ผลในด้านบวก เป็นธรรมดาตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่ต้องมีผลในด้านลบ ไมีมีอะไรดีหมด การทานน้ำมันมะพร้าวในปริมาณมากเกินไปก็จะเกิดผลเสีย การทานน้ำมันมะพร้าวที่ปริมาณเหมาะสมควรทานวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ข้อมูลตรงนี้มาจากงานวิจัยด้วยเพราะปริมาณ 1-2 โต๊ะ ร่างกายสามารถกำจัดออกได้หมด แต่บางคนหากมองว่าน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์เลยดื่มเยอะ ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้หมดส่งผลใหเกิดการตกค้างในร่างกาย

ทานน้ำมันมะพร้าวช่วงไหนเกิดประโยชน์สูงสุด
            น้ำมันมะพร้าวสามารถทำงานได้ดีที่สุด ในช่วงที่ร่างกายท้องว่างโดยในระหว่างวันช่วงที่ร่างกายท้องว่างมากที่สุด คือ ช่วงเช้า เพราะตอนกลางคืนขณะที่นอนหลับไม่ได้ทานอะไรเลย การทานน้ำมันมะพร้าวในตอนเช้าจึงถือว่ามีประโยชน์กับร่างกายมากที่สุด อย่างไรก็ดีการทานน้ำมันมะพร้าวภายในครั้งเดียวร่างกายอาจรับไม่ได้ ดังนั้นควรจะแบ่งทานเป็น 3 เวลาก่อนรับประทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง
           
การเก็บรักษา
            น้ำมันมะพร้าวจะกลายเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส ตรงนี้คงต้องกล่าวถึงการโจมตีของคนที่พูดว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นโทษต่อร่างกาย เพราะน้ำมันมะพร้าวจะเป็นไขเมื่อทานลงไปในร่างกาย แต่จากข้อมูลที่ว่าน้ำมันมะพร้าวจะเป็นไขหรือแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส เท่ากับว่าโอกาสที่น้ำมันมะพร้าวจะเป็นไขหรือแข็งตัวในร่างกายคนเป็น 0 เพราะอุณหภูมิในร่างกายคนปกติ คือ 37-38 องศาเซลเซียส
            จากการที่น้ำมันมะพร้าวสามารถแข็งตัวได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส จึงพบว่าในบางร้านมีการเปิดแอร์ จะพบว่าน้ำมันมะพร้าวจะขุ่นขาว บ้างก็แข็งตัวไปเลย หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นน้ำมันมะพร้าวที่เสียแล้วซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ภาวะที่เกิดขึ้นถือเป็นสิ่งปกติของน้ำมันมะพร้าว "กล่าวได้ว่าน้ำมันมะพร้าวของแท้ต้องเป็นไขในอุณหภูมิต่ำ แต่ถ้าไม่เป็นไขถือว่าเป็นของปลอม"


            ส่วนการเก็บรักษาน้ำมันมะพร้าวให้มีอายุการใช้งานให้นานที่สุด โดยธรรมชาติของน้ำมันมะพร้าวสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้เสียเร็วที่สุด รวมไปถึงการส่งผลให้มีกลิ่นหืน คือ อากาศ น้ำ ความชื้น ดังนั้นวิธีการที่ง่ายที่สุดคือ การปิดฝาภาชนะบรรจุให้สนิทและไม่ควรโดนแสงแดด
            ส่วนการนำไปใส่ตู้เย็นจริงๆ แล้วก็สามารถทำได้ หากใช้นำมันมะพร้าวในการบำรุงผิว เพียงแต่ต้องใส่ภาชนะที่ตักง่ายอย่างพวกตลับครีมเพราะแม้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะเป็นไขแต่ก็สามารถตักมาทาผิวได้ เมื่อน้ำมันมะพร้าวโดนผิวคนก็จะละลายตามปกติ แต่หากเก็บไว้เพื่อทานคงจะมีปัญหา เพราะต้องรอให้ละลายเสียก่อน

วิธีการสังเกตนำมันมะพร้าว สกัดที่เสีย
            ปกติน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นจะใสและไม่มีสี แต่ถ้าน้ำมันมะพร้าวที่เริ่มเสียสีจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ความใสจะเริ่มลดลงหรือเปลี่ยนเป็นขุ่น และมีการตกตะกอน โดยปัจจัยที่ทำให้เสียขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาการสกัดหรือมีการเจือปนของน้ำ