วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปัสสาวะบ่อย นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง สารพัดอาการที่ต้อง “บำรุงไต”

ปัสสาวะบ่อย นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง ฯลฯ สารพัดอาการที่ต้อง “บำรุงไต”
ไต คือ รากฐานของชีวิต...
          ไต(รวมทั้งต่อมหมากไตด้วย)มีบทบาทสำคัญยิ่งในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย การพัฒนาสมอง การสร้างกระดูก การสร้างเม็ดเลือด สมรรถภาพทางเพศ การสืบพันธ์แลความชรา ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับระบบการทำงานของหัวใจ ปอด ตับ ม้าม ระบบฮอร์โมน ระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกันด้วย ทั้งนี้เนื่องจากไตมีหน้าที่สำคัญดังนี้
            -ขับของเสียออกจากร่างกาย
            -รักษาความสมดุลของน้ำและเกลือในร่างกาย
            -รักษาความสมดุลของสภาพความเป็นกรดและด่างในร่างกาย
            -ควบคุมความดันโลหิตของร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติ
            -ไตทำหน้าที่ควบคุมและสร้างฮอร์โมนสำคัญหลายชนิด
            -ไตทำหน้าที่ควบคุมความแข็งแรงของกระดูก
สาเหตุใดทำให้ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติ...
          ไตจะเสื่อมลงจั้งแต่อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นความเสื่อมของร่างกายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่มีปัจจัยหลายอย่างทำให้ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วและก่อนวัยอันควร เช่น กรรมพันธุ์ การมีเพศสัมธ์มากเกินควร ประสบอุบัติเหตุ ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ผลกระทบจากโรคเรื้อรังต่างๆ เป็นต้น
            นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงในชีวิตประจำวันก็มีผลให้ไตเสื่อม เช่น ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมี เช่น ยาแก้ปวด ยารักษาสิว ยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ ยาลดความอ้วน  ยาลดความดัน  ฮอร์โมนทดทนแทน เป็นต้น ความเครียด มลภาวะเป็นพิษ ยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในผักผลไม้ สารฮอร์โมนที่สะสมในเนื้อสัตว์ อาหารทะเลที่แช่ฟอร์มาลิน หรือได้รับสารปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม สารโซเดียมที่ผสมอยู่ตามอาหารขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เช่นผงชูรส ผงฟู อาหารรสจัด รสเค็ม อาหารและเครื่องดื่มที่ผสมสี ฯลฯ
            ปัจจัยดังกล่าวล้วนทำให้ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วและก่อนวัยอันควร เราจึงพบบ่อยว่าหลายๆ คนแม้อยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่ก็มีอาการภาวะไตอ่อนแออย่างครบครันเช่นเดียวกัน
ภาวะไตอ่อนแอจะแสดงอาการอื่นๆ อย่างไร...
          ภาวะไตอ่อนแอจะแสดงอาการหลากหลายตามระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจแสดงอาการใดอาการหนึ่งหรือหลายๆ อาการพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความเสื่อมโทรมของไต อายุและระยะเวลาเรื้อรัง
            1.ระบบทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืน ปัสสาวะกะปริดกะปรอย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ บวมน้ำตามร่างกาย ฯลฯ
            2.ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ปวดหลัง ปวดเอว แขนขาอ่อนแรงลง เป็นตะคริวบ่อย หนาวหรือชาตามปลายมือปลายเท้า ปวดตามข้อ กระดูกพรุน โรคต์ ฯลฯ
            3.ระบบประสาท นอนไม่หลับ ฝันบ่อย เวลานอนแขนนขากระตุกหรือสะดุ้งตื่นเป็นประจำ หรือฝันว่าตกจากที่สูงจนตกใจตื่นเป็นประจำ ขี้หลงขี้ลืม ขาดสมาธิ วิงเวียน ปวดศีรษะ ซึมเศร้า วิตกกังวล อ่อนเพลียเรื้อรัง ขี้หนาว ฯลฯ
            4.ระบบทางเดินอาหาร เบื่ออาหารและลำไส้แปรปรวน อุจจาระร่วงเป็นประจำ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ฯลฯ
          5.ระบบภูมิต้านทาน เป็นหวัดบ่อยหรือเป็นหวัดง่าย ลมพิษ สะเก็ดเงิน เริม SLE ฯลฯ
            6.ระบบทางเดินหายใจ ระคายคอบ่อย ไอเรื้อรัง หอบหืด ฯลฯ
            7.ระบบสืบพันธุ์ หย่อนสมรรถภาพทางเพศหลั่งเร็ว ประจำเดือนมาผิดปกติ ช่องคลอดไม่กระชับ มีบุตรยาก หรือแท้งบุตร เข้าสู่วัยทองก่อนวัยอันควร ฯลฯ
            8.สภาพร่างกายภายนอก ผิวหน้าหมองคล้ำ หยาบกร้าน มีฝ้าบนใบหน้า ใต้ตาหมองคล้ำ หน้าอกหย่อนยาน ผมร่วง ผมหงอกก่อนวัย น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างฮวบฮาบ ฯลฯ
            9.หู-ตา หูอื้อ ตาพร่า น้ำในหูไม่เท่ากัน ฯลฯ
วิธีบำบัดแบบองค์รวมของแพทย์จีน...
            สำหรับอาการต่างๆ ที่เกิดจากภาวะไตอ่อนแอ การแพทย์จีนแนะนำควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้ถูกสุขลักษณะ และควรรักษาแต่เนิ่นๆ เนื่องจากอาการของภาวะไตอ่อนแอมักจะเรื้อรังอย่างช้าๆ จนเราคุ้นเคยกับสิ่งผิดปกติของร่างกาย ถึงขนาดลืมไปแล้วว่าตอนปกติจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร นอกจากนี้ผลการตรวจการทำงานของไตตามหลักการแพทย์ตะวันตกที่ต้องรอให้ไตเสียไปมากกว่า 70% ถึงจะแสดงค่า BUN และ Creatinine ที่สูงขึ้นนั้นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิด และชะล่าใจว่าถ้าผลการตรวจยังปกติอยู่ก็แสดงว่า ไตยังแข็งแรง ทั้งๆ ที่ไตอาจจะเสื่อมไปมากแล้วก็ตาม วิธีการรักษาของการแพทย์จีนจะเน้นการบำรุงรักษาไตเป็นหลักเพื่อบำบัดหลายๆ อาการของภาวะไตอ่อ่นแอไปพร้อมๆ กัน ทั้งที่แต่ละอาการดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมุมมองของการแพทย์ตะวันตกก็ตาม เมื่อไตแข็งแรงขึ้นอาการของภาวะไตอ่อนแอทั้งหลายก็จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด

ธุรกิจเครือข่ายจ่ายมากที่สุด

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทองคำ กุญแจไขความงามของสุภาพสตรี

ทองคำ กุญแจไขความงามของสุภาพสตรี
ถามกันมานานสำหรับเรื่องทองคำกับผิวพรรณ วันนี้เราจะมาคุยเรื่องทองคำให้หายข้องใจกันไปเลย นับแต่โบราณมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับทองคำหลายเรื่องเช่น อียิปต์ โบราณราชสำนักจีน ที่กล่าวถึงการดูแลผิวแบบชนชั้นสูง ที่เกี่ยวเนื่องกับทองคำ
สูตรการใช้ทองคำในการดูแลผิว มีมาตั้งแต่ยุคโบราณมีการค้นพบความมหัศจรรย์ของ “ทองคำ” ในการรักษาความงามดั่งเช่นพระนางคลีโอพัตราของอียิปต์ ตามประวัติศาสตร์ได้ลงบันทึกไว้ว่าเคล็ดลับความงาม ความสาวของพระนางคลีโอพัตรา คือพระนางทรงสวมใส่หน้ากากทองคำบริสุทธิ์ในขณะบรรทม เพื่อรักษาความงามและความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ เช่นเดียวกับสตรีสูงศักดิ์ ในราชวงศ์จีนหลายพระองค์ ที่นำลูกกลิ้งทำจากทองคำมานวด เพื่อถนอมความงามของผิว
ด้วยเหตุนี้กระมัง ที่ทำให้มีการนำทองคำมาใช้เพื่อความงามกันอย่างกล้างขวาง โดยเชื่อกันว่า “ทองคำ” มีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวพรรณ ช่วยฟื้นฟูและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลาเจล และอิลาสติน ช่วยในการทำงานของต่อมน้ำเหลืองในการขับสารพิษ ขับของเสีย กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิมใหม่ อีกทั้งช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน และยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
สำหรับยุคปัจจุบัน ประเทศผู้นำเทรนด์แฟชั่นอย่างญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี และสิงคโปร์ กำลังเห่อการทำทรีตเมนต์ ด้วยทองคำบรสุทธิ์ ว่ากันว่าช่วยคืนความกระชับและอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า ปรับผิวให้เนียนนุ่ม ดึงกระชับและกระจ่างใส
ดังจะเห็นว่าจะมีการใช้เทคนิคการสอดเส้นไหมทองใต้ผิวเป็นร่างแห เพื่อหวังผลในการรให้เส้นไหมทองกระตุ้นเซลล์ผิวให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น ซึ่งวิธีนี้อาจต้องรอดูผลเรื่องความปลอดภัย และผลระยะยาวอีกสักหน่อยเพราะยังไม่มีผลการศึกษาอย่างจัดเจนนัก
นอกจากนี้จะเห็นว่าในปัจจุบันเครื่องสำอางต่างๆ ได้นำส่วนผสมจากทองคำออกมาใช้กันอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุง โลชั่น แป้งต่างๆ โดยเฉพาะเวชสำอางที่ปรุงเฉพาะบุคคล ที่มีส่วนผสมของทองคำที่ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น
การฟื้นฟูผิวหน้าด้วยทองคำบริสุทธิ์ เป็นการบำบัดผิว โดยการใช้แผ่นทองคำปิดแผ่นทองลงบนใบหน้าโดยตรง หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว หรือใช้ผงทองคำผสมกับวิตามิน และคอลลาเจนมาส์คหน้า เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น กระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนและผ่อนคลาย
หรือการผลักอณูทองคำแบบนาโนลงสู่ผิวแบบล้ำลึก โดยการใช้เทคนิคการเปิด-ปิดเซลล์ผิว ด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ที่มีประสิทธิภาพในการผลักอณูทองคำให้ลงลึกสู่เซลล์ชั้นล่างของผิวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ให้ผลในการซึมผ่านสูงกว่า 90% ส่งผลให้การทำงานของอณูทองคำช่วยกระตุ้น และฟื้นฟูผิวได้เป็นอย่างดี
ซึ่งนับว่าเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงสำหรับปีนี้ หลังจากที่ผิวคุณผ่านช่วงเวลาที่แห้งกร้าน และแสงแดดที่แผดเผา รวมถึงมลพิษ และการขาดการพักผ่อนหรือฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เริ่มต้นใหม่กับผิวใสแบบเนื้อทองที่อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว ช่วยบำรุงและฟื้นฟู ก่อนเกิดริ้วรอยแห่งวัย
ต่อไปจากนี้เริ่มต้นผิวสวยกับคอร์สดูแลผิวแบบอินเทรนด์และควรเลือกครีมบำรุง ที่เหมาะสมกับผิวเพื่อชะลอความเสื่อมตามวัย แม้เราจะหยุดอายุไม่ได้ แต่เราก็อาจดึงรั้งเวลาเสื่อมของผิมให้วิ่งช้าลงได้ เริ่มต้นแต่วันนี้ เพื่อผิวที่สวยสมวัยแบบสุขภาพดี

เวียนศีรษะ ปวดต้นนคอ ปวดไหล่ แขนชา สารพัดอาการที่เกิดจาก “โรคกระดูกคอ”

เวียนศีรษะ ปวดต้นนคอ ปวดไหล่ แขนชา ฯลฯ
            สารพัดอาการที่เกิดจาก “โรคกระดูกคอ”
โรคกระดูกคอเป็นโรคที่ฮิตในปัจจุบันอีกทั้งเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้สูงอายุและในวัยหนุ่มสาว แม้กระทั่งในวัยเด็กนักเรียน นักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือทำงานอยู่ในท่าเดียวนานๆ
สาเหตุโรคกระดูกคอที่พบบ่อย
          -ภาวะกระดูกคอเสื่อม: ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
            -อริยาบถหรือท่าที่ผิดสุขลักษณะ: เช่นการหนุนหมอนสูงเกินไป การทำงานในท่าเดียวนานๆ นั่งเขียนหนังสือ นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
            -คอเคล็ดหรือยอก: เกิดจากคอมีการเคลื่อนไหวเร็วเกินไป หรือรุนแรงเกินไป
            -บาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา
            -ข้ออักเสบ: ข้ออักเสบเรื้อรังบางชนิดอาจทำให้กระดูกคออักเสบไปด้วย
            -อาการอักเสบของร่างกาย: อาจทำให้เป็นโรคกระดูกคอหรือกระตุ้นให้อาการหนักขึ้น
            -ความเครียดทางจิตใจ: ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอตึงตัวเป็นประจำ จนส่งผลกระทบต่อกระดูกคอได้
            -ขาดการออกกำลังกาย
อาการของโรคกระดูกคอ
          อาการของโรคกระดูกคอมีตั้งแต่ปวดตื้อๆ อย่างสม่ำเสมอจนถึงปวดแปล๊บอย่างรุนแรง อาจเริ่มปวดจากโครงสร้างส่วนใดของคอก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นล้ามเนื้อ เส้นเอ็นหรือกระดูกหรือไม่ก็อาจเริ่มปวดจากบริเวณอื่น  เช่น ข้อไหล่ สะบักหรือขากรรไกร แล้วปวดแผ่ซ่านกระจายไปยังคอตามเส้นประสาทที่ควบคุมบริเวณแขนทั้งสอง ทำให้มีอาการชาไปที่แขนและมือ นอกจากนี้ผู้ป่วยมักจะรู้สึกปวดหรือมึนศีรษะ หนักท้ายทอย อาการปวดจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และจะปวดร้าวตามไหล่และแขนโดยเฉพาะเวลาหันคอ แต่สำหรับผู้ที่อายุ 40 ปี ขึ้นไป แม้มีเพียงอาการปวดเมื่อยต้นคอ หรือมีอาการตกหมอนเป็นประจำก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเริ่มเป็นโรคกระดูกคอแล้ว ควรเริ่มดูแลรักษาแต่เนิ่นๆ
สาเหตุโรคกระดูกคอในทัศนะการแพทย์จีน...
            การแพทย์จีนได้จัดโรคกระดูกคอให้อยู่ในกลุ่มโรคชาและปวดเมื่อยจากเส้นลมปราณติดขัดทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง และเกิดภาวะเลือดคั่งกีดขวางการไหลเวียนของโลหิตจนเกิดอาการปวด ซึ่งสอดคล้องกับหลักการวินิจฉัยและรักษาอันสำคัญของแพทย์จีนคือ “ปวดแสดงว่าไม่โล่ง โล่งแล้วก็จะไม่ปวด” ส่วนพิษของลมและเย็น-ชื้น ที่สะสมในเส้นนลมปราณบริเวณคอและไหล่จะจับตัวเป็นก้อน ทำให้เส้นลมปราณและหลอดเลือดติดขัดกันมากยิ่งขึ้น เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และกระดูกคอ จะได้รับการหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอจึงเสื่อลงได้เร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติหลายๆ อย่าง
วิธีการบำบัดแบบองค์รวมของการแพทย์จีน...
          การรักษาโรคกระดูกคอด้วยยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาสเตอรอยด์ อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย เนื่องเป็นเพียงระงับอาการปวดและอักเสบชั่วคราว มได้หยุดยั้งการลุกลามของโรค ที่สำคัญคือพิษของยาจะก่อให้เกิดการระคายเคืองของกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารไม่ย่อย และเลือดออกในกระเพาะอาหารพร้อมทั้งส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย ส่วนในรายที่มีอาการรุนแรงนั้นวิธีการผ่าตัดอาจได้ผลดี แต่อาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อีกทั้งผู้ป่วยหลายๆ คนก็ ยังลังเลในเรื่องค่าใช้จ่าย ความยุ่งยากและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะตามมา ดังนั้นการแพทย์จีนจึงนิยมใช้สมุนไพรจีนบำบัดโรคกระดูกคอด้วยวธีแบบองค์รวมดังนี้
-ทะลวงเลือดและเส้นลมปราณบริเวณคอและไหล่ สลายเลือดคั่ง ทำให้หลอดเลือด และเส้นลมปราณโล่งขึ้น เส้นเอ็น กล้ามเนื้อและกระดูกคอจะได้รับการหล่อเลี้ยงได้มากขึ้น เพื่อบรรเทาอาการปวด และหยุดยั้งการลุกลามของโรค
-ขจัดพิษของลมและเย็น-ชื้น ที่สะสมอยู่ตามบริเวณไหล่และคอ เพื่อขจัดสาเหตุสำคัญของโรคกระดูกคอ
-บำรุงเลือดลม กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เลือดจึงไปเลี้ยงสมองมากขึ้น เพื่อลดอาการปวดหรือมึนศีรษะ
-เสริมสร้างพลังชี่ ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดภาวะเส้นลมปราณติดขัด
อาการปวดต้นคอ ไหล่และสะบัก อาการปวดร้าวและอ่อนแรงที่แขนและมือ อาการปวดศีรษะมึนศรีษะ สายตาพร่า และอาการอื่นๆ ที่เกิดจากโรคกระดูกคอ จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว คุณค่าที่แฝงอยู่ในผืนแผ่นดินไทย

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว

Gamma-Oryzanol                               Tocols Group, Vitamin E
                                 Ceramide, Lecithin
          ต้านมะเร็ง อัมพฤกษ์ – อัมพาต โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล เส้นเลือดตีบตัน ลดความรุนแรงของสิวอักเสบทุกชนิด ลดอาการปวดเมื่อยตามกระดูก กล้ามเนื้อและโรคเก๊าท์ ลบเลือนริ้วรอยด่างดำ ฝ้า - กระ ปรับระดับความดันโลหิตและลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับสบาย และลดอาการไมเกรน ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่น สดใส ยืดหยุ่น ไม่แห้งเหี่ยว ช่วยอาการผิดปกติของชายหญิงวัยเจริญพันธุ์และวัยทอง หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ช่วยกระตุ้นการหลั่ง Growth Hormone

Rice Bran & Germ Oil
น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว
            ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ทำให้สาเหตุการเสียชีวิต  เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บเปลี่ยนไปจากที่มนุษย์มีอัตราการตายจากโรคติดเชื้อเป็นหลัก กลับกลายเป็นอัตราการตายจากโรคเสื่อมถอยเป็นหลัก เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น
            แม้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังต้องทรมานจากภาวะของโรคเสื่อมต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคตับ โรคไต อัม โรคพฤกษ์ – อัมพาต สาเหตุหลักมาจากสภาวะการขาดสารอาหาร หรือได้รับสารอาหารนั้นมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลของร่างกาย
            การที่ในอดีตคนไทยมีอัตราการตายจาก โรคหัวใจ และมะเร็งต่ำมาก จนทำให้ชาติตะวันตกหันมาสนใจในรำข้าวและจมูกข้าวของไทย จึงเกิดการศึกษาวิจัยค้นคว้าจนพบว่า สาร Gamma-Oryzanol ในรำข้าวและจมูกข้าวนั้นมีประโยชน์มากมายมหาศาลในการป้องกันและบำบัดภาวะโรคเสื่อม (Gamma-Oryzanol จะสลายตัวไปหากขัดสีข้าวแล้วเกิน 24 ชั่วโมง ดังนั้นจึงต้องใช้รำข้าวสดที่เก็บไว้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง)
ส่วนประกอบของข้าว
            เปลือกข้าว 20%                          
          จมูกข้าว 2.5%        
          เยื่อหุ้มเมล็ด 8%
            เมล็ดข้าว 69.5%
รำข้าวและจมูกข้าวที่ดีและมีปริมาณมากที่สุดในโลกก็คือ ข้าวไทยของเรา ดังนั้นเราจึงภูมิใจในสินค้าไทยที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
หลอดเลือดสะอาด นำส่ง Oxygen ไปเลี้ยงร่างกายได้ดี
หลอดเลือดตีบตันส่ง Oxygen ไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยจึงเกิดความเสื่อม
ไขมันที่อุดตันในเส้นเลือดเป็นสาเหตุของโรคชุดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันเมื่อมีไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นเป็นสาเหตุให้หัวใจทำงานหนักจึงเกิดโรคหัวใจโต หากไขมันอุดตันในเส้นเลือดหัวใจทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย นั่นเอง
ภาวะอุดตันของไขมันในหลอดเลือดหากเกิดในสมองก่อให้เกิด อัมพฤกษ์ หากเลือดไหลเวียนไม่ดีส่งผ่านออกซิเจนได้น้อย เหมือนร่างกายขาดอากาศหายใจจึงเกิดความเสื่อมของอวัยวะ ทั้งตับ ไต หัวใจ สมอง ฯลฯ
ทางการแพทยังไม่มียาตัวไหนที่สลายไขมันอุดตันได้ แต่ Gamma Oryzanol มีงานวิจัยว่าช่วยลดการตีบตันได้ ทำให้หลอดเลือดขยายกว้างขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด จึงเกิดภาวะไหลเวียนเลือดดี แล้วอวัยวะกลับฟื้นตัวมาทำงานได้ดีขึ้น
สารสำคัญอื่นๆ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และบำรุงส่วนต่างๆ ได้ดี
-Lecithin บำรุงสมอง ระบบประสาท
-Tocols Group (วิตามิน E) ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุดในน้ำมันทุกชนิด
-Oryza Ceramide ช่วยเพิ่มความกระชับ และยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง
-Omega 3, 6, 9 ช่วยเรื่องลดลดคอเลสเตอรอล LDL และเพิ่ม HDL ที่เป็นไขมันดี
-สารอื่นๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกาย

ของหวาน (ขนมหวาน) กินอย่างไรไม่อ้วน

ของหวาน (ขนมหวาน) กินอย่างไรไม่อ้วน
            อาหารที่มีรสหวาน หรือขนมหวาน ถือเป็นอาหารโปรคของหลายคน บางคนถึงกับติดขนมหวาน หลังอาหารแต่ละมื้อโดยเฉพาะมื้อเย็น หรือในแต่ละวันต้องบริโภคของหวาน โดยเฉพาะสุภาพสตรีทั้งหลายแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าความอ้วนที่มาเยือนส่วนหนึ่งมาจากของหวาน
            อย่างไรก็ดีเคล็ดไม่ลับในการกินของหวานหรือบรรดาขนมหวานแล้วไม่ส่งผลต่อความอ้วนสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1.ออกกำลังกายละลายสิ่งที่จะสะสม
            ในของหวานนั้นมีอะไรบ้างที่สะสม แล้วทำให้อ้วน คำตอบคือแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย การออกกำลังกายจะส่งผลให้สามารถละลายหรือกำจัดแป้ง น้ำตาลได้เป็นอย่างดี โดยหลักการนั้นหลังการกินของหวานไปแล้วควรเดินหรือทำกิจกรรมที่ต้องออกกำลัง เช่นทำความสะอาดบ้าน จัดโต๊ะทำงาน ปลูกต้นไม้ สัก 15 นาที หรือไม่ก็ในตอนเย็น ออกกำลังกาย เต็มๆ ไปเลยสัก 30 นาที
2.กินแล้วอย่านอนเลย
            หลายคนที่ชอบกินของหวานหลังอาหารมื้อเย็น ซึ่งอาหารมื้อเย็นบางคนกว่าจะได้ทานก็ปาเข้าไป 3 – 4 ทุ่ม ด้วยความอิ่มด้วยความอ่อนเพลีย กินเสร็จก็นอนเลย พฤติกรรมเช่นนี้ไม่นานความอ้วนจะมาเยือนแน่นอน หากมื้อเย็นไม่มีเวลาออกกำลังกาย ควรที่จะงดของหวาน
3.รู้หลักโภชนาการ
ปัจจุบันของหวานที่ทำสำเร็จรูปมีมากมาย ซึ่งข้างกล่องหรือบรรจุภันฑ์จะมีการเขียนบอกว่า ของหวานมีส่วนผสมอะไรบ้าง ตรงนี้อย่ามองข้ามเพราะว่ามีประโยชน์มากทีเดียว กล่าวคือ เราสามารถเลือกกินในชนิดของของหวานที่ไม่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ หรือถ้ามีก็ให้น้อยที่สุด
4.ควบคุมปริมาณการกิน
พฤติกรรมเห็นแล้วอยากกินไปเสียหมดเกิดขึ้นกับหลายๆ คนแถมกินแต่ละครั้งก็มิใช่น้อย ต้องลดและควบคุม เช่นไปเจอของหวานสัก 5 อย่าง แล้วอยากกินทั้งหมด ก็ควรกินอย่างละน้อยสัก 1-2ช้อน แค่นี้ก็พอแล้ว
5.กาแฟสามารถช่วยท่านได้
            มีข้อมูลที่น่าสนใจในทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ กาแฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานได้ ดังนั้นการดื่มกาแฟหลังกินของหวานเข้าไป สามารถช่วยได้เช่นกัน แต่อย่าลืมการกินกาแฟนั้นต้องใช้น้ำตาลเทียม หากยังเน้นน้ำตาลปกติแถมเน้นความหวานเป็นที่ตั้ง กินกาแฟไปก็เปล่าประโยชน์
6.ไม่ควรกินของหวานติดต่อกันทุกวัน
            การทานของหวานติดต่อกันทุกวัน ถือว่าไม่ส่งผลดีต่อร่างกายอย่างแน่นอน นอกจากความอ้วนแล้ว อีกหลายโรคที่จะมาเยี่ยมเยือนโดยมิได้เชื้อเชิญ โดยเฉพาะเบาหวาน ถ้าใครที่กินของหวาน รุ่งเช้าควรงด แล้วหันไปบริโภคผักรวมถึงการดื่มน้ำเยอะๆ ก็สามารถที่จะช่วยลดการสุ่มเสี่ยงต่อความอ้วนได้ดี

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หัวเราะ รักษาเบาหวาน

หัวเราะรักษาเบาหวาน
            หัวเราะเป็นยาวิเศษ นอกจากนี้ยังช่วยบำบัดรักษาผู้ป่วยเบาหวานอย่างได้ผล
            มีข้อมูลจากนักจิตประสาทภูมิคุ้มกันแห่งมหาลัยโลมาลินดา รัฐแคลิฟฟอร์เนีย ว่าเสียงหัวเราะของผู้ป่วยเบาหวานช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ โดยทำการทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานประเภทสอง อายุราว 50 ปี จำนวน 20 คนทุกคนได้รับการรักษาทางการแพทย์ตามมาตรฐาน ทั้งกินยาลดความดัน และยาลดระดับคอเลสเตอรอล

                ผู้ทดลองแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกใช้วิธีรักษาด้วยยาตามปกติ  ส่วนกลุ่มที่สองได้รับทั้งยาและการบำบัดด้วยเสียงหัวเราะ โดยให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ดูหนังฟังเพลงที่ตนเองชอบวันละ 30 นาที ต่อเนื่องนาน 12 เดือน ได้ผลการทดลองออกมาว่า ผู้ป่วยกลุ่มที่สองมีปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ เอชดีแอล เพิ่มขึ้น 26% ในขณะที่กลุ่มแรกมี เอชดีแอล เพิ่มขึ้นแค่ 3%  ส่วนการบ่งชี้นการอักเสบหรือ ซี-รี แอ๊คทีฟ โปรตีนก็ลดลงมากถึง 66% ในกลุ่มที่สอง และ 26% ในกลุ่มแรก

                ผู้วิจัยกล่าวว่า ขณะหัวเราร่างกายจะเผาผลาญคอเลสเตอรอลชนิดเลวและเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดดี ช่วยป้องกันหัวใจและเพิ่มภูมิคุ้มกันการติดเชื้อได้

ข้อมูล : Health Day

เรื่องของสิว แต่ไม่ใช่สิว สิว

เรื่องของสิว
            "สิวเป็นสิ่งที่วัยรุ่นหรือบรรดาหนุ่มสาวรู้จักกันดี และสิวที่ยังก่อปัญหาน่ารำคาญใจบนใบหน้าของเรา ทำให้ไม่มีความมั่นใจในความสวย-ความหล่อกันเลยทีเดียว ซึ่งสิวบางประเภทก็ยากที่จะแก้ไขหรือกำจัดไปได้โดยง่าย"

                การเกิดสิวมักเริ่มตั้งแต่อายุ 11-12 ปีขึ้นไป บางคนยังสามารถเป็นสิวได้แม้วัยไกล้เลข 4 แล้วก็ตาม ดังนั้นเราควรมาทำความรู้จักเกี่ยวกับเรื่องของสิวกันก่อนดีกว่า
            - สิวอุดตัน จะแบ่งย่อยออกเป็น 2 ลักษณะ คือ สิวอุดตันหัวเปิดซึ่งมีลักษณะหัวดำๆ กับสิวอุดตันหัวปิดจะเห็นเป็นตุ่มนูนๆ เล็กๆ สีขาว
            - สิวอักเสบ จะเห็นเป็นตุ่มแดงๆ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่เล็กถึงใหญ่เป็นก้อน หรือมีโพรงติดต่อกันหลายๆ หัว

สาเหตุการเกิดสิว
            1.ฮอร์โมน ซึ่งมีผลทำให้ต่อมไขมันขอองเราถูกกระตุ้นและมีการสร้างไขมันมากขึ้น
            2.พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัว มีสิวมากก็มักมีโอกาสที่จะเป็นสิวได้มากกว่าคนปกติทั่วไป
            3.ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ อดนอน หรือมีความเจ็บป่วย ฯลฯ
            4.การแพ้สารสัมผัสหรือสารบางชนิด ที่ผสมอยู่ในเวชภัณฑ์ต่างๆ เช่น เครื่องสำอาง สบู่ล้างหน้า ยาสระผม เป็นต้น
            5.สิ่งแวดล้อม เช่น การโดนฝุ่นละออง ความร้อน หรือแสงแดดมากๆ ก็ทำให้เกิดสิวได้

วิธีการรักษาสิว
            1.การทายา ซึ่งมีอยู่หลายประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะ, ยากลุ่ม Vitamin A, ยากลุ่ม Benzylperoxide
            2.การกินยา ซึ่งประกอบด้วย ยาปฏิชีวนะ,ยากลุ่ม Vitamin A และฮอร์โมน
            3.การฉีดยา มักใช้ในผู้ป่วยที่มีสิวอักเสบโดยการฉีดยากลุ่ม Corticosteroid เข้าไปในตำแหน่งที่มีสิวนั้น
            4.การกดสิว ซึ่งวิธีนี้มักใช้ในผู้ป่วยที่มีลักษณะสิวอุดตัน
            5.การใช้แสงกลุ่ม Blue light

วิธีป้องกันและดูแลผิวหน้าระหว่างเป็นสิว
          1.รักษาความสะอาดของใบหน้าและเส้นผม เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกและความมันบนใบหน้า
            2.ต้องไม่บีบหรือแกะสิวโดยเด็ดขาด
          3.พักผ่อนให้เพียงพอ
          4.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
          5.เลือกใช้ครีมบำรุงหน้าและเส้นผมที่เหมาะสม ถ้าเกิดอาการแพ้หลังใช้ควรรีบหยุดใช้ทันที
            เห็นไหมว่าการป้องกันไม่ให้เกิดสิวก็ไม่ได้ปฏิบัติยากเย็นอะไร แต่หากเราเป็นสิวแล้วก็ไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะปัจจุบันนี้มีวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามาก ใครที่เป็นสิวแล้วไม่รู้จะทำยังไงดีหรือปฏิบัติตามข้างต้นแล้วไม่หายสามารถพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและรักษาให้ใบหน้าสวยใสไร้สิวได้ดังใจฝัน

อาหารที่อาจทำให้เกิดสิว
          เรื่องธรรมดาที่ซ่อนความไม่ธรรมดาไว้ เพราะอาหารนอกจากจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว อาหารยังมีส่วนทำให้เกิดโรคและช่วยป้องกันรักษาโรคได้เช่นกัน ดังนั้นการกินอาหารจึงต้องพิถีพิถันพิเศษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนตามหลักโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ยกตัวตัวอย่างใกล้ตัว อย่าง "สิว" ที่มีคนไข้จำนวนไม่น้อยทีเดียวที่มีต้นเหตุหรือปัจจัยเสริมของสิวก็มาจากอาหารที่รับประทานนั่นเอง ซึ่งอาหารที่กระตุ้นและก่อให้เกิดสิวมี 3 ประเภทหลัก คือ
            1.นม ผลิตภัณฑ์จากนม Daily Prouct  เช่น นมข้นหวาน ชีส โยเกิร์ต ไอศกรีม เค้ก เบเกอรี่ และอาหารที่มีผสมของนม เนื่องจากนมเป็นอาหารย่อยยาก เมื่อรับประทานเข้าไปจะเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหาร และเกิดการเจริญเติบโตของ Yeast ซึ่งเมื่อเพิ่มมากขึ้นก็จะเกิดการกระตุ้นให้เกิดสิวได้ แต่ถ้าหากเกรงว่าจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่ได้รับจากนม เราสามารถเลือกรับประทานจากอาหารกลุ่มอื่นได้ เช่น ไข่ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ ปลาตัวเล็ก และเนื้อสัตว์ เพื่อทดแทนโปรตีนและแคลเซี่ยมจากนมได้
            2.อาหารที่หวานจัด ก็จะเป็นอาหารของ Yeast ในกระเพาะอาหารเช่นเดียวกัน ทำให้ Yeast เจริญเติบโตได้ และยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ Hormone  ทำให้ Hormone ไม่คงที่ ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา เป็นสาเหตุของการเกิดสิวและเพิ่มมากขึ้น
            3.กาเฟอีน จากชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลม เป็นตัวกระตุ้นให้ Yeast เติบโตและเกิด Toxin เป็นของเสียในร่างกาย และกระตุ้นให้เกิดสิวได้ง่าย
           
            คนที่มีอาการเกิดสิวมาก เป็นๆ หายๆ หากทำการรักษามาหลายวิธี แต่สิวก็ยังไม่หายขาด อาจทดลองได้โดยการงดอาหารทั้ง 3 กลุ่ม ดังกล่าวข้างต้นสัก 1-2 เดือน หากผลที่ออกมาทำให้เกิดสิวลดลงหรือไม่เกิดสิวใหม่ ก็เป็นไปได้ว่าคุณอยู่ในกลุ่มที่ถูกกระตุ้นให้เกิดสิวจากอาหารเหล่านี้ และสามารถแก้ไขปัญหาสิวได้ไม่ยากอีกต่อไป

รหัสงาน E 129993